วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551

เลือกไปทำอะไร จากข่าวสด

เลือกไปทำอะไร

ก่อนเข้าคูหา




กำหนดการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครยังคงเดิม คือวันที่ 5 ต.ค. 2551

สำหรับผู้ว่าฯกทม.ที่ประชาชนจะไปใช้สิทธิ์หย่อนบัตรเลือกมานี้ สิ่งที่ผู้มีสิทธิ์ทั้งหลายควรรู้ และตระหนักก่อนการใช้สิทธิ์ คือจะเลือกผู้ว่าฯกทม.ไปทำอะไรได้บ้าง

พิจารณาจากภาระหน้าที่ของกทม. ที่กำหนดไว้ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ปี 2528 นั้น

1.การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน 2.การลงทะเบียนตามที่กฎหมายกำหนด 3.การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 4.การรักษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 5.การผังเมือง 

6.การจัดให้มีและบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ และทางระบายน้ำ 7.การวิศวกรรมจราจร 8.การขนส่ง 9.การจัดให้มี และควบคุมตลาด ท่าเทียบเรือ ท่าข้ามและที่จอดรถ 10.การดูแลรักษาที่สาธารณะ 

11.การควบคุมอาคาร 12.การปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัดและจัดการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย 13.การจัดให้มีและบำรุงรักษาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ 14.การพัฒนาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 15.การสาธารณูปโภค 

16.การสาธารณสุข การอนามัยครอบครัว และการรักษาพยาบาล การจัดให้มีและควบคุมสุสาน และฌาปนสถาน 18.การควบคุมการเลี้ยงสัตว์ 19.การจัดให้มีและควบคุมการฆ่าสัตว์ 20.การควบคุมความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการอนามัยในโรงมหรสพ และสาธารณสถานอื่นๆ 

21.การจัดการศึกษา 22.การสาธารณูปการ 23.การสังคมสงเคราะห์ 24.การส่งเสริมการกีฬา 25.การส่งเสริมการประกอบอาชีพ 26.การพาณิชย์ของกทม.และ 27.หน้าที่อื่นๆ ตามที่กฎหมายระบุให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เทศบาลนคร หรือตามที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย หรือที่กฎหมายระบุเป็นหน้าที่ของ กทม.

ผู้ว่าฯกทม.ก็คือผู้ที่จะเข้าไปบริหารจัดการกทม. และปฏิบัติภารกิจทั้งหลายที่กฎหมายกำหนดนั่นเอง

จินตนาการและจิตที่ยิ่งใหญ่พอ จากมติชน 6กย51

จินตนาการและจิตที่ยิ่งใหญ่พอ As the (Peaceful) Future Calls Youคอลัมน์ จิตวิวัฒน์โดย สรยุทธ รัตนพจนารถ http://pingwab.blogspot.com และ http://jitwiwat.blogspot.com แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ลูกเจี๊ยบที่เจริญเติบโตในไข่ถึงระยะหนึ่งต้องเจาะเปลือกไข่ออกมาหากินด้วยตนเองหนอนในรังดักแด้ก็เช่นกัน ต้องออกจากรังหากต้องการเป็นผีเสื้อที่งดงามแต่ทางออกและทางเลือกในสถานการณ์ของการเมืองไทยปัจจุบัน ซึ่งต่างฝ่ายที่เผชิญหน้าบอกว่ามีให้แก่กันนั้น ดูเหมือนแทบไม่มีช่องให้ออก ไม่มีทางให้เลือก เพราะมันคับแคบอยู่ในกรอบความคิดเดิมๆ ความเชื่อเดิมๆ ต่างมองว่าฝ่ายตนถูกต้องเสียทั้งหมด ฝ่ายตรงข้ามผิดก็ผิดทั้งหมด ต่างตั้งเป้าว่าสิ่งที่ควรเกิดขึ้น คือ ฝ่ายตนชนะอย่างเด็ดขาด ในที่อีกฝ่ายแพ้อย่างหมดรูปสังคมไทยตอนนี้จึงเสมือนลูกไก่ที่ดิ้นขลุกๆ ขลักๆ อยู่ในเปลือกอันคับแคบ เหมือนหนอนผีเสื้อที่จะมีศักยภาพในการโบยบินได้อย่างอิสระ แต่ทนบิดไปบิดมาอยู่ในรังหากพวกเราต้องการออกจากปัจจุบันอันอึดอัดคับแคบเช่นนี้ สิ่งที่เราพึงกระทำและเราทุกคนสามารถทำได้มีอยู่ 2 อย่าง1) พวกเราแต่ละคนต้องสร้าง "จินตนาการที่ใหญ่พอ" พอที่จะทำให้ทุกคนเกิดฉันทะ สร้างแรงบันดาลใจ จินตนาการนี้ต้องงดงาม เป็นจินตนาการถึงความเป็นไปได้ของการอยู่ร่วมกันที่เคารพในคนทุกคน ให้ทุกคนมีเกียรติมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นไปได้ไหมว่า เราร่วมกันมีจินตนาการอันยิ่งใหญ่พอที่จะพาเราทะลุทะลวงออกมาจากทางตันทางการเมืองเป็นจินตนาการที่ทำให้หลายๆ คน (ยิ่งทุกคนยิ่งดี) ได้เป็นวีรบุรุษวีรสตรีของชาติ (National Heroes and Heroines) ไม่ว่าจะเป็นใคร เป็นคุณทักษิณ คุณพจมาน คุณสมัคร คุณเนวิน คุณสุริยะใส คุณจำลอง คุณสนธิ คุณสมศักดิ์ คุณสมเกียรติ ตำรวจ ทหาร พธม. นปช. คนเล็กคนน้อยทั้งหมด ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะใส่เสื้อสีอะไร ไม่ว่าเดินไปไหนมีแต่คนทักทาย มีแต่คนยิ้มให้ ยกมือไหว้ รับไหว้กันด้วยน้ำใสใจจริง คนในบ้านเลิกทะเลาะกัน เห็นไม่เหมือนกัน แต่ก็รักกันเหมือนเดิมได้อนาคตที่งดงาม มีสันติภาพ และมีพลังเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถดึง สามารถนำพา ผู้คนออกจากปัจจุบันเช่นที่เราเผชิญอยู่ได้2) พวกเราแต่ละคนต้องมี "จิตที่ใหญ่พอ" พอที่จะสร้างและรองรับจินตนาการร่วมของเรา อนาคตที่ยิ่งใหญ่จะสร้างขึ้นได้ก็ต้องการคนที่มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน ศาสนสถาน ดังเช่น วัด มัสยิด โบสถ์ที่งดงามอลังการได้ก็เพราะมีศาสนิกชนผู้ทุ่มเททั้งกายและใจร่วมกันสร้างหากเราต้องการอนาคตที่ยิ่งใหญ่และงดงาม เราจะสร้างมันขึ้นมาด้วยจิตที่คับแคบและหดหู่ได้อย่างไร เพราะอนาคตเช่นนั้นต้องสร้างด้วยจิตที่ว่างๆ แจ่มใส อุดมด้วยสติและปัญญา ถ้าเรามีความโกรธอยู่ในใจแล้ว ปัญญาเราก็หาย ถ้าเรามีความเกลียดอยู่ในใจแล้ว ปัญญาเราก็ไม่มี หากเราขาดปัญญา เราก็ไม่สามารถพาตัวเราออกจากข้อจำกัดเดิมๆ ของเราได้เช่น หากเรายึดติดกับความโกรธ ความจงเกลียดจงชังในใจเรา เราจะถูกกักขังจองจำอยู่ในอดีตอันจำกัดว่าเราจะไปยกย่องคนบางกลุ่มได้อย่างไร เมื่อเราไม่ก้าวข้ามข้อจำกัดของตนเองออกมาเช่นนี้ สันติภาพย่อมยากจะมีโอกาสเกิดขึ้นมาได้ในเมื่อตอนนี้คนในบ้านแบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่ายเช่นนี้ แล้วเหตุใดเราจะยกย่องเขาไม่ได้ล่ะว่าเขาเป็นวีรบุรุษเป็นวีรสตรี คนคนหนึ่งสามารถเป็นได้สิ หากว่าเขาทำบางสิ่งบางอย่างที่น่าชื่นชม มีบุคคลหลายคนในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของบ้านเราต่างก็ได้รับการยกย่อง เพียงเพราะว่าในสถานการณ์คับขันของประเทศ เขาเลือกที่จะทำบางสิ่งหรืองดกระทำบางอย่างเท่านั้นเองแน่นอน การที่คนคนหนึ่งเป็นวีรบุรุษวีรสตรี ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เรายกย่องเขาเพราะเราได้รับรู้และซาบซึ้งในความดีและความกล้าหาญที่จะเสียสละในบางเรื่องของเขาส่วนเรื่องที่เขาได้เคยทำผิดพลาดไป (เราทุกคนก็เคย ไม่มากก็น้อย) นั่นเป็นเรื่องที่เขาต้องได้แสดงความรับผิดชอบ และอาจไม่จำเป็นต้องเข่นฆ่า ไล่ต้อนกันให้จนมุม ให้อยู่ในประเทศกันไม่ได้ จริงหรือไม่ทุนทางสังคมเรื่องความรัก ความเมตตา และการให้อภัยของไทยเรายังมีอยู่ไม่น้อย หากใครกล้าหาญยืดอกยอมรับในความผิดของตน เขาอาจกลับเป็นแรงบันดาลใจให้เราแสดงความกล้าหาญในการให้อภัยเขาก็ได้ โดยรากศัพท์แล้ว อภัย หมายถึง ความไม่มีภัย ความไม่ต้องกลัว การที่เราให้อภัยใครบางคน เป็นการปลดแอกตัวเองออกจากความกลัว และทำให้เขาเป็นผู้ไม่มีภัยต่อจิตใจของเรา ยิ่งถ้าหากเขาได้เป็นวีรบุรุษวีรสตรีผู้นำพาสันติภาพมาสู่ประเทศ เราย่อมให้อภัยเขาเหล่านั้นง่ายขึ้นพลังของการให้อภัยไม่ใช่เรื่องที่เกินจริง แม้แต่ประเทศแอฟริกาใต้ที่บอบช้ำเพราะความรุนแรงจากนโยบายแบ่งแยกสีผิวมาอย่างยาวนานค่อนศตวรรษ บนซากศพของพี่น้องร่วมชาตินับหมื่นคนและซากปรักหักพังของบ้านเมืองนั้น เขาก็ยังสามารถตั้งคณะกรรมการเพื่อความจริงและการสมานฉันท์ (Truth and Reconciliation Commission) ที่ให้ผู้เสียหายมาร้องทุกข์เพื่อให้สังคมได้รับรู้ พร้อมกับให้ผู้กระทำการมาแสดงความรับผิดชอบและรับการให้อภัย ไม่ต้องรับโทษทางคดีความหากเรายังมีความโกรธความเกลียดอยู่ในใจ ถูกจองจำอยู่ในข้อจำกัด ย่อมทำให้เราไม่เกิดปัญญา ไม่อาจให้อภัยใคร แต่ถ้าหากเราสามารถข้ามทะลุกรอบความคิดเดิมๆ ความเชื่อเดิมๆ ของเราไปได้ เราอาจพบทางออกและทางเลือกอย่างเช่นการใช้ "การสื่อสารด้วยความกรุณา" (Compassionate/Non-violent Communication) ซึ่ง ดร.มาร์แชล บี. โรเซนเบิร์ก ได้บอกเล่าผ่านหนังสือชื่อ We Can Work It Out (แก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติและมีพลัง) ว่า ความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยาที่กำลังจะหย่าร้าง และระหว่างชนเผ่าที่รบราฆ่าล้างกันนั้นสามารถแก้ไขและได้รับเยียวยาด้วยวิธีการนี้มาแล้ว (ผู้สนใจสามารถอ่านได้ที่ http://jitwiwat.blogspot.com ผู้เขียนได้อ่านและร่วมฝึกอบรมกับคุณไพลิน โชติสกุลรัตน์ ผู้แปล รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ยากอย่างที่เคยคิด และมีความหวังกับสถานการณ์ในปัจจุบันขึ้นอีกมาก)กรณีอย่างแอฟริกาใต้ และอีกหลายกรณีเช่นนี้ จะยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ถ้าผู้คนในสังคมนั้นๆ ไร้เสียแล้วซึ่งจินตนาการและจิตใจที่ยิ่งใหญ่พอหากเกิดคำถามขึ้นว่า แล้วจินตนาการและจิตที่ใหญ่นี้จะเกิดขึ้นได้จริงหรือ จะเป็นไปได้ไหมที่ชาวไทยทุกคนจะเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างพร้อมเพรียงเท่าๆ กัน?คำตอบของคำถามนี้อาจเป็นผลงานวิจัยจำนวนมากซึ่งระบุว่าสมาธิและความตั้งใจ (Intention) ของมนุษย์เรานั้น สามารถสร้างผลในโลกกายภาพได้ เช่น ลดอัตราอาชญากรรม ลดอัตราการสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร หรือเพิ่มคุณภาพชีวิต โดยไม่จำเป็นที่ทุกคนจะต้องมีสมาธิและความตั้งใจในสิ่งเดียวกันเท่าๆ กัน แต่ขอแค่จำนวนที่เป็นสัดส่วนเพียงพอที่จะสร้างให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชุมชนหนึ่งๆสัดส่วนที่ว่านั้นคือ รากที่สองของหนึ่งเปอร์เซ็นต์จากจำนวนประชากรในชุมชน สำหรับประเทศไทยแล้ว คนไทยจำนวน 63 ล้านคน อาจยังไม่เริ่มพร้อมกันก็ได้ แต่เพียงแค่มีคนที่เริ่มก่อนในจำนวนสัดส่วนดังว่า นั่นคือแค่ไม่ถึงแปดร้อยคน ไม่ถึง "แปดร้อยคน" เท่านั้นประการสำคัญคือ จินตนาการที่ใหญ่พอและจิตที่ใหญ่พอนี้ ทำให้เกิดขึ้นได้ง่าย หากเรามีความกล้า กล้าพอที่จะคิด กล้าพอที่จะหวัง กล้าพอที่จะศรัทธาเราต้องกล้าที่จะ ศรัทธาว่ามนุษย์ทุกคนเรียนรู้ได้ เปลี่ยนแปลงได้ หลายครั้งเราได้ยินตัวอย่างองคุลีมาลซึ่งแม้อาจฟังดูเฝือ แต่ว่ามันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงตนเองได้ หากเราไม่ให้โอกาสเขา ก็เท่ากับเราไม่ให้โอกาสตัวเราเองด้วยเราต้องกล้าที่จะ ศรัทธาในความเป็นไปได้จากสภาวการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ (Thinking the Impossible) เหมือนอย่างคนที่เชื่อมั่นอย่างยิ่งยวดในการผ่าทางตันด้วยความรุนแรง เราต้องเชื่อมั่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันว่า ในความที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เลยนั้น มันมีความเป็นไปได้ของสันติภาพอยู่ เนลสัน เมนเดลา ประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งคนแรกของแอฟริกาใต้ กล่าวว่า "มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย จนกระทั่งมันได้เกิดขึ้นจริงๆ"เราต้องกล้าที่จะ ศรัทธาว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนแปลงสังคม ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงภายในตัวเราเอง (Self-transformation) การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เราทำได้เอง โดยไม่ต้องรอผู้มีอำนาจสั่ง ไม่ต้องรอผู้นำหรือแกนนำจากภายนอก เป็นการคืนอำนาจและอิสรภาพมาสู่ตัวเราอย่างแท้จริงการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่สำคัญที่สุด คือ การเห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง ไปพ้นมุมมองแบบทวิลักษณ์ ที่มองสิ่งต่างๆ ว่าเป็นขั้วตรงข้าม คือ ไม่ขาวก็ดำ ไม่ถูกก็ผิด ไม่ดีก็เลวการเผชิญหน้าที่เกิดขึ้นในบ้านเราก็เป็นผลพวงของกระบวนทรรศน์เช่นนี้ และเป็นปรากฏการณ์เดียวกันกับที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชุดความคิดความเชื่อที่เราใช้กันอยู่ที่แบบแยกส่วน เน้นวัตถุมากกว่าจิตใจ และสุดโต่งสองขั้ว นั้นไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตร่วมกันเสียแล้วดังที่ไอน์สไตน์บอกว่า "เราต้องการวิธีการคิดแบบใหม่ ที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง หากมนุษยชาติจะยังคงอยู่รอดอยู่ได้"ลูกเจี๊ยบดิ้นขลุกขลักในเปลือกไข่ และหนอนผีเสื้อในรังไหม จะว่าไปแล้วก็เป็นเหมือนที่ทฤษฎีไร้ระเบียบบอกไว้ว่า ในระบบพลวัตที่อ่อนไหวต่อสภาวะเริ่มต้น หากระบบมีความสั่นไหว เกิดความไร้ระเบียบถึงระดับหนึ่งที่มากพอ ระบบจะปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อเกิดระเบียบ (order) ใหม่ และระเบียบหรืออนาคตที่เกิดขึ้นใหม่นี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร มันก็ขึ้นอยู่กับสภาวะเริ่มต้น ณ ขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร มีองค์ประกอบเช่นใดฉันใดก็ฉันนั้น เราจึงต้องเร่งสร้างการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงให้กับตนเอง ทั้งเรื่องจินตนาการและจิตที่ยิ่งใหญ่ เพื่อว่า ณ เมื่อจุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นมาถึง เราจะได้มีคนจำนวนมากพอที่รู้วิธี มีจิตที่ว่าง แจ่มใส ยิ่งใหญ่ และมุ่งมั่น สามารถจะนำพาสังคมไปสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่ เหมือนลูกไก่ที่กะเทาะออกจากเปลือก และมีสันติภาพร่วมกันได้เหมือนผีเสื้อที่โบยบินออกจากรังดักแด้

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

"ศักดิ์ชัย"ท้าชน"วิชัย"

วันที่ 01 กันยายน พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11132 มติชนรายวัน"ศักดิ์ชัย"ท้าชน"วิชัย" ลุ้นนายกเมืองอำนาจฯนายสมภพ สังข์สุวรรณ ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กต.) ประจำเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ กล่าวว่า เทศบาลเมืองอำนาจเจริญจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่นายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ในวันที่ 28 กันยายนนี้ มีผู้สมัคร 4 ราย คือ หมายเลข 1 นายวิชัย บุญเสริฐ หมายเลข 2 น.ส.วิภาดา ต้นทอง หมายเลข 3 นายศักดิ์ชัย ตั้งตระกูลวงศ์ และหมายเลข 4 นายสมพรชัย คงไชย"ฝากเตือนผู้สมัครว่าอย่าคิดซื้อสิทธิขายเสียงอีก ไม่เช่นนั้นจะโดนใบเหลืองใบแดง ทำให้เสียเวลาพัฒนาบ้านเมือง"รายงานข่าวแจ้งว่า การจัดการเลือกตั้งดังกล่าว เป็นไปตามคำสั่งศาลอุทธรณ์ ภาค 3 หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติให้ใบเหลืองนายวิชัย บุญเสริฐ อดีตนายกเทศมนตรี เนื่องจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่บริสุทธิ์ยุติธรรมนายเสวียน โสมอินทร์ กรรมการหอการค้า กล่าวว่า การเลือกตั้งของจังหวัดอำนาจเจริญมีการร้องเรียนมาก จึงขออย่ากระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง เพราะทำให้ประชาชนเบื่อหน่าย และสิ้นเปลืองงบประมาณ (กรอบบ่าย)หน้า 8

วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เตือน4ผู้สมัคร"อำนาจเจริญ"

วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11131 มติชนรายวัน
เตือน4ผู้สมัคร"อำนาจเจริญ"

นาย สมภพ สังข์สุวรรณ ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กต.) ประจำเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ เปิดเผยว่า วันที่ 28 กันยายน จะมีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ซึ่งมีผู้สมัคร 4 คน คือนายวิชัย บุญเสริฐ หมายเลข 1 น.ส.วิภาดา ต้นทอง หมายเลข 2 นายศักดิ์ชัย ตั้งตระกูลวงศ์ หมายเลข 3 และนายสมพรชัย คงไชย หมายเลข 4
"ฝากเตือนผู้สมัครทุกคน ว่าอย่าคิดซื้อสิทธิขายเสียงอีก ไม่เช่นนั้นจะโดนใบเหลืองใบแดงอยู่ร่ำไป ทำให้เสียเวลาจัดการเลือกตั้งใหม่ เสียเวลาพัฒนาบ้านเมือง ประชาชนเสียโอกาส"
ข่าวแจ้งว่า การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้เนื่องจากศาลอุทธรณ์ ภาค 3 มีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลาง มีมติให้ใบเหลืองนายวิชัย บุญเสริฐ อดีตนายกเทศมนตรี เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่เชื่อได้ว่าไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม
(กรอบบ่าย)

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ข่าวเลือกตั้ง

ข่าวต้นชั่วโมงศูนย์ข่าวสปข.2 วันที่ 23 สิงหาคม 2551 เวลา 14.10 น. (23/8/2008)
สองอดีตนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญ ลงสมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญอีกครั้ง สองอดีตนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญ ลงสมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญอีกครั้ง หลังศาลมีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่ -เสียงรายงาน-(ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้มีคำสั่งตามคดีหมายเลขแดง ที่ 2596/2551 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 ให้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญใหม่ ตามนัยมาตร 97 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 เลือกตั้งภายใน 60 วัน ภายหลังประกาศผลการเลือกตั้งหรือกรณีคัดค้านการเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ในวันที่ 28 กันยายน 2551 เป็นวันเลือกตั้ง นายสุธรรม ยืนสุข ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ เปิดเผยว่า หลังจากที่ คณะกรรมการการเลือกประจำจังหวัดอำนาจเจริญ ประกาศให้มีการเลือกตั้ง และเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 18-22 สิงหาคม 2551 มีผู้สนใจสมัคร จำนวน 4 คนได้แก่ นายวิชัย บุญเสริฐ ผู้สมัครหมายเลข 1, นางสาววิภาดา ต้นทอง ผู้สมัครหมายเลข 2 , นายศักดิ์ชัย ตั้งตระกูลวงศ์ ผู้สมัครหมายเลข 3 และนายสมพรชัย คงไชย ผู้สมัครหมายเลข 4 ในการเปิดรับสมัครครั้งนี้มีอดีตนายกเทศมนตรีฯ 2 คน ลงสมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญอีกครั้ง กับผู้สมัครอิสระอีก2คน ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ กล่าวเสริมอีกว่า การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญใหม่ครั้งนี้คาดการว่า การแข่งขันจะไม่รุนแรงเท่าครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ แบ่งเขตเลือกตั้ง 21 เขต จำนวน 29 หน่วยเลือกตั้ง มีประชากรที่มีสิทธิเลือกตั้ง 17,187 คน วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2551 เป็นวันเลือกตั้ง ตั้งแต่เวลา 08.00 น. -15.00 น.)/ สวท.อำนาจเจริญ/รายงานศรีสะเกษสร้างความเข้าใจภัยจากสื่อ ประชาชนอาจเสียเปรียบจากการซื้อสินค้า จัดสัมมนาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการคุ้มครองผู้บริโภค นายไมตรี อินทุสุต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่าปัจจุบันการเสนอขายสินค้าและบริการต่างๆต่อประชาชนนับวันมีรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อชักจูงให้ผู้บริโภคสนใจซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น เช่น การขายตรงโดยผ่านตัวแทน การโฆษณาผ่านทางหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อวิทยุกระจายเสียง สื่อป้ายโฆษณาแผ่นพับใบปลิวเป็นต้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบ เพราะไม่ทราบราคาตามภาวะตลาด คุณภาพสินค้าที่เป็นจริง นายไมตรี อินทุสุต กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้ประชาชนได้สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพของสินค้าหรือบริการที่ถูกต้อง สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมจากการทำสัญญาหรือนิติกรรมต่างๆ และสิทธิที่จะได้รับการพัฒนาค่าชดเชยการความเสียหายที่เกิดจากการได้สินค้าหรือบริการ และรับรู้ทางกฎหมายใหม่ๆ ที่เป็นระเบียบขั้นตอนในการเรียกร้องสิทธิ และข้อพิจารณาในการเลือกซื้อหรือเลือกใช้บริการจากการโฆษณาต่างๆ จังหวัดศรีสะเกษได้จัดสัมมนาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการคุ้มครองผู้บริโภคขึ้น มีผู้ร่วมกว่า 300 คน /สวท.ศรีสะเกษ/ข่าว fffffffอำนวย ระดาบุตร บรรณาธิการข่าว สายเพชร เภสัชชา/อ่าน
ข้อมูลจาก :: อำนวย ระดาบุตร สปข.2 (อุบลราชธานี) วันที่ :: 23/8/2551

ความสามัคคี ตามแนวพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ความสามัคคี ตามแนวพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คุณธรรมความสามัคคีตามแนวพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว28 มีนาคม พ.ศ. 2550 06:00:00กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : “...ในปัจจุบันนี้เป็นที่ทราบว่า ประเทศชาติอยู่ในภาวะที่ต้องอาศัยความเข็มแข็ง เพื่อที่จะให้อยู่รอด ประเทศไทยจะอยู่ได้ก็ด้วยทุกคน ทุกฝ่ายสามัคคีกัน ความสามัคคีนั้นได้พูดอยู่เสมอว่าต้องมี แต่อาจจะเข้าใจยากว่าทำไมสามัคคีจะทำให้บ้านเมืองอยู่ได้ สามัคคีก็คือ การเห็นแก่บ้านเมืองและช่วยกันทุกวิถีทาง เพื่อที่จะสร้างบ้านเมืองอยู่ได้ สามัคคีนี้ก็คือ การเห็นแก่บ้านเมือง และช่วยกันทุกวิถีทาง เพื่อที่จะสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง ด้วยการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และไม่ทำลายงานของกันและกัน และทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ต้องส่งเสริมงานของกันและกัน และไม่ทำลายงานของกันและกัน มีเรื่องอะไรให้ได้พูดปรองดองกัน อย่าเรื่องใครเรื่องมัน และงานก็ทำงานอย่างตรงไปตรงมา นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม...” (พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานในพิธีประดับยศนายตำรวจชั้นนายพล ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๑๙) จากพระราชดำรัสดังกล่าว พอจะสรุปได้ว่า ความสามัคคี คือ ความสามารถจะทำงานเพื่อส่วนรวม หรือความพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกันและกัน เพื่อเอื้อประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งความสามัคคีแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ความสามัคคีของวิชาการ และความสามัคคีในจิตใจ ความสามัคคีวิชาการคือ การประสานความรู้ และทักษะของผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ มากมาย เพื่อส่งผลสำเร็จในด้านต่าง ๆ มาสู่ประเทศ ความสามัคคีในจิตใจเป็นลักษณะของการปรองดองกัน โดยเกิดจากความเมตตากรุณากันและกัน มีจิตใจผูกพันที่จะช่วยเหลือกันและกัน เพื่อให้งานนั้น ๆ บรรลุเป้าหมาย คำว่า “สามัคคี” แปลว่า ความพร้อมเพรียง ได้แก่ ความพร้อมเพรียงกันทางกายวาจา และใจ พร้อมเพรียงช่วยกันทำกิจที่บังเกิดผลเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม พร้อมเพรียงกันทำงานในหน้าที่ของตน ใครมีหน้าที่อย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ตั้งใจทำให้เต็มกำลัง เต็มความสามารถของตน อย่างนี้เรียกว่า “สามัคคี” ปัจจัยเกื้อหนุนให้เกิดความสามัคคี คือ ความสามัคคีกลมเกลียวกัน หรือความร่วมมือและร่วมใจกัน เป็นสิ่งที่สำคัญที่คนไทยทุกคน ๆ คนพึงมีอยู่ในจิตสำนึก และช่วยกันสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น พื้นฐานที่สุดของการจรรโลงความสามัคคีกลมเกลียวกันให้บังเกิดขึ้น และดำรงอยู่ต่อไปอย่างแน่นแฟ้น คือ การรู้จักหน้าที่ของตนเอง ในหมู่สมาชิกของสังคม และประเทศนั้น ๆ กล่าวคือ ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใดอยู่ ก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงไปให้ทันการณ์ทันเวลา โดยเต็มกำลัง ความรู้ ความสามารถ และโดยบริสุทธิ์จริงใจ ผลงานของแต่ละคนจักได้ประกอบส่งเสริมกันขึ้นเป็นความสำเร็จและความมั่นคงของชาติ การที่จะเกิดความสามัคคีได้ในการกระทำต้องเริ่มจากใจภายในเสียก่อน ถ้าทุกคนมีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแล้ว ประเทศชาติย่อมคลาดแคล้วจากภัยของศัตรู และตั้งมั่นมีความสุขสมบูรณ์อยู่ได้ หากขาดความสามัคคี ไม่รักใคร่ไว้วางกัน ปราศจากความปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การดำเนินงานย่อมจะไม่สำเร็จ ธรรมที่เสริมสร้างความสามัคคีของหมู่คณะคือ สังคหวัตถุ ๔ ประการซึ่งได้แก่ ทาน คือ การให้ปันของแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน ตลอดจนให้ความรู้ ความเข้าใจ และศิลปวิทยา ปิยวาจา คือ พูดจาปรารัยด้วยถ้อยคำอ่อนหวานไพเราะเป็นที่เจริญใจ มีวาจาที่นิ่มนวลไพเราะ อ่อนหวาน เป็นคุณ ทำให้เกิดความพอใจแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง อัตถจริยา คือ การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กันและกัน ช่วยเหลือกันด้วยกำลังกาย กำลังความคิด และกำลังทรัพย์ เป็นต้น สมานัตตตา คือ ความเป็นผู้วางตนเหมาะสม ประพฤติปฏิบัติตามที่ควรจะเป็น วางกิริยาอัธยาศัยให้เหมาะกับฐานะ หรือตำแหน่งหน้าที่ การเสริมสร้างความสามัคคี มีแต่ได้ไม่มีเสียหาย ขอให้ปรารถนาดีต่อกันอย่างจริงจัง และปฏิบัติตามธรรม ๔ ประการ ข้างต้น เมื่อได้ประพฤติปฏิบัติ ความสามัคคีย่อมจะเกิดขึ้น เมื่อเกิดความสามัคคีขึ้นแล้ว การงานทุกอย่างแม้จะยากสักเพียงใด ก็กลายเป็นง่าย ชีวิตมีแต่ความราบรื่น แม้จะเกิดอุปสรรคก็สามารถขจัดให้หมดสิ้นได้ ดังคำกล่าวที่ว่า “สามัคคีคือพลัง” เพียงแต่ทุกคนดำรงชีวิตบนพื้นฐานแห่งคุณธรรม ให้ทุกคนมีความรัก และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีและเสียสละเพื่อส่วนรวม ดังพุทธภาษิตว่า “สุขา สงฆสส สามคี แปลว่า ความสามัคคีของหมู่ทำให้เกิดสุข” เอกสารอ้างอิง คู่มือครู :การอบรมความรู้และจริยธรรมเพื่อชีวิตตอนที่ ๒ เขียนโดยอาจารย์กนก จันทร์ขจร หนังสือวัฒนธรรมกับสันติภาพ ของ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติhttp://www.bangkokbiznews.com/2007/03/28/WW06_0607_news.php?newsid=61381

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ความเพียบพร้อม จากมติชน 24 สค.51

ความเพียบพร้อมคอลัมน์ ธรรมะวันหยุดพระราชสุธี (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) วัดเทวราชกุญชร วรวิหาร watdevaraj@hotmail.comคนเราทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว ถ้าใครได้ปฏิบัติตามหลักของการทำบุญ 3 ประการคือ ทาน การให้ ศีล การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย และภาวนา การอบรมฝึกฝนจิตใจแล้ว คงไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธ หรือพูดว่าไม่ยินดี ไม่ต้องการความสุข ความเพียบพร้อมในทุกด้าน อันเป็นผลที่จะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการศึกษา หน้าที่การงาน หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตในประจำวัน ก็ล้วนแล้วแต่ต้องการให้มีพร้อมในทุกสิ่งทุกอย่างด้วยกันทั้งสิ้นธรรมะหมวดหนึ่ง ที่กล่าวถึงความพรั่งพร้อม หรือความสมบูรณ์แบบไว้ เมื่อเราทำบุญครบทั้งสามประการ คือ ทาน ศีล ภาวนา อยู่บ่อยๆ บุญเหล่านี้ก็จะติดตามตัวเราไปตลอด ไม่สูญหาย และสามารถเสวยผลแห่งบุญนี้ตลอด ตามความปรารถนา อีกทั้งยังสามารถอำนวยให้เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยสมบัติอีกด้วย สมบัติ แปลว่า ความถึงพร้อม ความสมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่างๆ เป็นการอำนวยผลประโยชน์ของบุญ คือ ความดีที่ได้กระทำมา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ช่วยเสริมความดีนั่นเอง มีอยู่ด้วยกัน 4 ประการ1. คติสมบัติ ความถึงพร้อมด้วยคติ ได้แก่ การเกิด การอยู่อาศัย การดำเนินชีวิตในถิ่นที่มีแต่ความเจริญ รุ่งเรือง มีสภาพแวดล้อมที่ดี มีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ประสบผลสำเร็จ ไม่มีความลำบากในเรื่องของปัจจัยต่างๆ อยู่ในสถานที่เอื้อประโยชน์ หรือเหมาะสมในการสร้างบุญกุศล คุณงามความดี อบรมวาสนาบารมีธรรม 2. อุปธิสมบัติ ความถึงพร้อมด้วยรูปกาย ได้แก่ การมีรูปกายที่สวยงาม มีอาการครบ 32 ประการ มีราศีดี มีบุคลิกลักษณะสง่างาม มีร่างกายที่แข็งแรง มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน3. กาลสมบัติ ความถึงพร้อมด้วยกาล ได้แก่ การเกิดอยู่ในสมัยที่บ้านเมืองมีแต่ความสุข ความสงบร่มเย็น มีผู้นำที่ดี มีการปกครองที่ดี ผู้ใหญ่ไม่ข่มเหงรังแกผู้น้อย หรือผู้ที่อ่อนแอกว่า และคนในสังคมที่อยู่ร่วมกัน เป็นหมู่ เป็นคณะ ก็เป็นคนมีศีล มีธรรม รักใคร่สามัคคีปรองดองกัน ยกย่องคนที่ทำความดี ไม่ส่งเสริมคนที่ทำผิดคิดชั่ว4. ปโยคสมบัติ ถึงพร้อมด้วยการประกอบความเพียร ได้แก่ การนำความเพียรไปขวนขวายประกอบกิจการ ทำหน้าที่การงานในทางที่ถูก ที่ควร ประกอบกิจการงานด้วยความถูกต้อง ดีงาม ซื่อสัตย์สุจริตสมบัติ หรือความถึงพร้อมทั้ง 4 ประการนี้ จะเกิดมีขึ้นได้ ก็ด้วยการประกอบบุญกุศล คุณงามความดีเป็นเบื้องต้น เป็นสมบัติที่ติดตามและติดตัวไปทุกที่ ไม่มีใครสามารถที่จะลักขโมยเอาไปได้ ใครที่อยากจะทำให้ชีวิตในชาตินี้และชาติหน้ามีแต่ความสงบร่มเย็น เป็นสุข เป็นคนที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ ก็อย่าลืมประกอบบุญกุศลเป็นประจำ จะประสบผลสำเร็จเป็นแน่แท้