วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551

ประโยชน์ของการตรงต่อเวลา จาก ข่าวสด

ประโยชน์ของการตรงต่อเวลา
คอลัมน์ สดจากจิตวิทยา
นฤภัค ฤธาทิพย์/กรมสุขภาพจิต
การพัฒนาตนเองให้เป็นคนตรงต่อเวลานั้นเราสามารถทำได้โดยการที่เรารู้จักแบ่ง เวลาให้เหมาะสมกับกิจกรรมต่างๆ เป็นการจัดระเบียบให้กับชีวิต สำหรับในการทำงานหรือการเรียนก็คือการพยายามทำงานหรือส่งงานให้เสร็จก่อน เวลาเพื่อมีเวลาตรวจทานและส่งงานให้ตรงตามกำหนด รวมถึงหากนัดหมายกับผู้ใดควรที่จะเผื่อเวลาในการเดินทางเพื่อไปให้ถึงจุด หมายก่อนเวลาสักเล็กน้อย เพื่อจะได้ไม่ต้องเร่งรีบรวมถึงมีเวลาเตรียมความพร้อมให้กับตนเอง

การที่เราเป็นคนตรงต่อเวลานั้น จะช่วยให้เราเป็นคนที่ขยันขันแข็ง เอาการเอางาน มีความกระตือรือร้น รักที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ ช่วยให้เราไม่เฉื่อยชา ทันสมัย มีชีวิตชีวา เป็นคนมีวินัย สามารถจัดการกับงานหรือสิ่งที่ผ่านเข้ามาได้อย่างเป็นระเบียบ จึงทำให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ มีความก้าวหน้าในชีวิต รวมถึงเป็นคนน่าเชื่อถือ และผู้อื่นให้ความไว้วางใจแก่เรา

สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ส่วนหนึ่งของการตรงต่อเวลา ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือจะช่วยให้เราสามารถจัดการกับชีวิตของเราได้อย่างราบ รื่นและมีความสุข

วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551

สารเมลามีน จาก มติชน

อย.สั่งเก็บ6ขนมผสม"นมจีน" เวเฟอร์โอรีโอ-เอ็มแอนด์เอ็มเมื่อวันที่ 25 กันยายน ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นายวิชาญ มีนชัยนันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นพ.ชาตรี บานชื่น เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ร่วมกันแถลงข่าวมาตรการป้องกันผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากประเทศจีน ปนเปื้อนสารเมลามีนจนเด็กล้มป่วยเป็นโรคนิ่วในไตว่า วันนี้ อย.ได้เชิญผู้ประกอบการที่นำเข้า ผลิต จำหน่าย วัตถุดิบ ผลิตภัณฑ์นม ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูป ที่มีส่วนผสมของนมจากจีน และห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ร้านค้าส่งและปลีกมาประชุม เพื่อขอความร่วมมือให้หยุดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ 1-2 สัปดาห์ ให้ อย.ตรวจสอบความปลอดภัยตั้งแต่วันที่ 26 กันยายนเป็นต้นไป ดังนี้ 1.คอฟฟี่ โอทมีล แครกเกอร์ (ขนมปังกรอบและข้าวโอ้ตรสกาแฟ ตราเหมาฮวด) นำเข้าโดยบริษัท พี อาร์ อิมแพ็ก จำกัด 2.เวเฟอร์ สติ๊ก ไวท์ ช็อกโกแลต เวเฟอร์เคลือบช็อกโกแลตขาว ตราโอรีโอ นำเข้าโดย บริษัท ดีทแฮล์ม จำกัด 3.ช็อกโกแลตนม ตราโดฟ 4.ช็อกโกแลตนมเคลือบน้ำตาลสีต่างๆ ตราเอ็มแอนด์เอ็ม 5.ถั่วลิสงคาราเมล และนูกัต เคลือบช็อกโกแลตนม ตราสนิกเกอร์ส โดยทั้งหมดนำเข้าจาก บริษัท มาร์ส ไทยแลนด์ อิงค์ และ 6.เมนทอสโยเกิร์ตมิกซ์ (ลูกอมรสโยเกิร์ต กลิ่นผลไม้รวม) นำเข้าโดยบริษัท ซีโน-แปซิฟิค เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ประชาชนที่พบเห็นสามารถโทร.แจ้งได้ที่ สายด่วน อย. 1556นพ.ชาตรีกล่าวว่า สารเมลามีนมีความเป็นพิษต่ำ ไม่มีพิษต่อสารพันธุกรรม และไม่เป็นสารก่อการกลายพันธุ์ แต่หากร่างกายได้รับสารอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้ระคายเคืองต่อระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ไต กระเพาะปัสสาวะ โดยสารเมลามีน จะไปรวมตัวกับสารเคมีอื่นๆ เช่น Cyanuric acid กลายเป็นก้อนนิ่วอุดตันในระบบทางเดินปัสสาวะ และมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหรือไตวายได้ ทั้งนี้ อย.ได้ยึดค่าความปลอดภัย (TDI) ตาม EU คือ 0.50 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1กิโลกรัม หากคำนวณความเสี่ยงจากการบริโภคนมปนเปื้อนสารเมลามีน ในกลุ่มเด็ก 0-2 เดือน และในกลุ่มเด็ก อายุ 6-8 เดือน ต้องบริโภคไม่เกิน 19 มิลลิกรัม/กิโลกรัมอาหาร และ 20 มิลลิกรัม/กิโลกรัมอาหาร จึงจะปลอดภัยโดยร่างกายสามารถขับสารพิษออกมาได้เองตามธรรมชาติ "นมจีนที่มีการปนเปื้อนสารเมลามีนครั้งนี้ เข้าใจว่าเป็นการเจตนาใส่สารเมลามีนลงไปในนม ไม่ใช่การปนเปื้อนโดยประมาท หรือผิดพลาดในกระบวนการผลิต เพื่อเป็นการเพิ่มความเข้มข้นของโปรตีนในน้ำนมเพื่อให้ได้มาตรฐาน เพราะโครงสร้างเมลามีนมีไนโตรเจนเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งคล้ายกับโปรตีน ดังนั้น เพื่อความสบายใจของผู้ปกครองเด็ก ควรให้เด็กดื่มนมแม่จะดีที่สุด ไม่มีสารพิษปนเปื้อนและมีประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็กมากกว่านมผง หรือนมสำเร็จรูปอื่นๆ" นพ.ชาตรีกล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551

หึ่งชิงนายกเล็กอำนาจฯแจกหัวละพัน

หึ่งชิงนายกเล็กอำนาจฯแจกหัวละพัน

ข่าววันที่ 24 กันยายน 2551 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

หึ่งชิงนายกเล็กอำนาจฯแจกหัวละพัน

++กกต.สั่งจับตาคืนหมาหอน

++2อดีตนายกฯหวังคืนเก้าอี้

 

                โค้งสุดท้ายชิงนายกเล็กเมืองอำนาจเจริญ 2 อดีตนายกฯเร่งเครื่องลงพื้นที่ทำคะแนนหวังหวนคืนเก้าอี้ หึ่งเตรียมแจกเงินให้ชาวบ้านหัวละ 500-1,000 บาท ในคืนหมาหอน

 

                อำนาจเจริญ:ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการหาเสียงเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญ อ.เมือง จ.อำนาจเจริญ ที่จะทำการเลือกตั้งในวันที่ 28 ก.ย.นี้ หลังจากที่ศาลอุทธรณ์ได้มีคำตัดสินแจกใบเหลืองนายวิชัย บุญเสริฐ นายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญ โดยการเลือกตั้งครั้งนี้มีผู้สมัครนายกเทศมนตรี 4 คน ประกอบด้วย หมายเลข 1 นายวิชัย บุญเสริฐ อดีตนายกเทศมนตรีคนล่าสุด หมายเลข 2 น.ส.วิภาดา ต้นทอง ญาติทางฝั่งนายวิชัย หมายเลข 3 นายศักดิ์ชัย ตั้งตระกูลวงศ์ อดีตนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญ 4 สมัย และ หมายเลข 4 นายสมพรชัย คงไชย อดีตประธานสภาเทศบาลหลายสมัย

                บรรยากาศการหาเสียงของผู้สมัครช่วงโค้งสุดท้ายยังเป็นไปด้วยความเงียบเหงา โดยมีผู้สมัครเพียง 2 คน คือ นายวิชัย และนายศักดิ์ชัย ที่ออกตระเวนหาเสียงตามชุมชนต่างๆ ด้วยการเช่ารถยนต์ติดเครื่องเสียงออกประชาสัมพันธ์ถึงแนวนโยบายการทำงานเมื่อได้รับเลือกตั้ง พร้อมกันนั้นก็จะมีรายการสาดโคลนคู่ต่อสู้บ้าง ส่วนอีก 2 คนนั้น ประชาชนแทบไม่รู้จักว่าเป็นใคร เนื่องจากไม่ลงพื้นที่หาเสียง          

               นายสมภพ สังข์สุวรรณ ปลัดเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ในฐานะ ผู้อำนวยการเลือกตั้ง(ผอ.กต.)ประจำเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ กล่าวว่า ขณะนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมในการเลือกตั้งอย่างเต็มที่ และได้ดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนในพื้นที่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งให้มากที่สุด นอกจากนั้นก็ได้ทำการประชุมชี้แจงให้กับผู้สมัครรับเลือกตั้งทั้ง 4 คน ได้รับรู้รับทราบถึงข้อกฎหมายในการเลือกตั้ง จะได้ไม่กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในทุกกรณี เพื่อจะได้ให้การเลือกตั้งครั้งนี้ดำเนินไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม และโปร่งใส        

รายงานข่าวแจ้งว่า ขณะนี้มีกระแสข่าวว่า มีผู้สมัครบางรายเตรียมเงินแจกให้กับชาวบ้านในพื้นที่หัวละ 300 – 500 บาทแล้ว ส่วนในคืนหมาหอนทราบว่าจะซื้อ เสียงเพิ่มขึ้นอีกถึงหัวละ 500 - 1,000 บาท พร้อมกันนี้ยังมีกระแสข่าวอีกว่าจะมีการซื้อเสียงกันถึงหน้าหน่วยเลือกตั้งกันเลย

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญครั้งนี้ จะมีอายุการทำงานประมาณ 2 ปี เหตุเพราะนายวิชัย ได้ทำงานมากว่า 2 ปีแล้ว จากนั้นก็มาถูก กกต.แจกใบเหลืองจนต้องหลุดออกจากตำแหน่ง จนกระทั่งมีการเลือกตั้งใหม่ในที่สุด   

วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551

พ.ร.บ.ผลประโยชน์ทับซ้อน จากข่าวสด

พ.ร.บ.ผลประโยชน์ทับซ้อนคอลัมน์ คอลัมน์ที่13รัฐบาลชุดปัจจุบันประสบปัญหาการสรรหาตัว "คนนอก" เข้ามารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเพราะติดที่กฎหมายผลประโยชน์ทับซ้อน ที่นอกจากห้ามผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองทำงานในธุรกิจที่เกี่ยวข้องหลังจากดำรงตำแหน่งเป็นระยะเวลา 2 ปีแล้วยังห้ามไปถึง "ญาติ" ว่าจะเข้ามาทำงานที่เกี่ยวข้องไม่ได้ด้วยพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล และประโยชน์ส่วนรวม พ.ศ.2550 ระบุว่า ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หมายถึง(1) นายกรัฐมนตรี(2) รัฐมนตรี(3) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(4) สมาชิกวุฒิสภา(5) ข้าราชการการเมืองอื่นนอกจาก (1) และ (2) ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการการเมือง(6) ข้าราชการรัฐสภาฝ่ายการเมืองตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา(7) ผู้บริหารท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่นขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(8) เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งดำรงตำแหน่งอื่นตามที่คณะกรรมการป.ป.ช.กำหนด โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาขณะที่ "ญาติ" หมายถึง(1) บุพการีของตน(2) ผู้สืบสันดานของตน(3) พี่น้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาหรือมารดาเดียวกันของตนหรือของคู่สมรส(4) ลุง ป้า น้า อาของตนหรือของคู่สมรส(5) บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยายของคู่สมรส(6) บุตรของบุคคลตาม (3)(7) บุตรของบุคคลตาม (6) เฉพาะที่เป็นญาติของตนการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวมตามวรรคหนึ่ง(1) การกระทำที่บัญญัติไว้ในมาตรา 100 วรรคหนึ่ง มาตรา 101 และมาตรา 103 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542(2) การใช้ข้อมูลที่ตนได้รับหรือทราบจากการปฏิบัติราชการ การปฏิบัติหน้าที่ หรือในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริต(3) การใช้ทรัพย์สินของราชการหรือหน่วยงานของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเองหรือบุคคลอื่นซึ่งไม่มีสิทธิโดยทุจริต(4) การริเริ่ม เสนอ หรือจัดทำโครงการของรัฐที่มีเจตนาโดยทุจริตเพื่อจะเอื้อประโยชน์ต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม(5) การใช้อำนาจหน้าที่ซึ่งตนมีอยู่ไปมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจโดยอิสระในการใช้อำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งดำรงตำแหน่งอื่นโดยทุจริตไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมมาตรา 6 ในกรณีที่บุคคลใดได้รับประโยชน์จากการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือคู่สมรส หรือญาติของเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา 5 ให้ถือว่าบุคคลนั้นมีส่วนร่วมในการกระทำความผิด และรับโทษเช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือคู่สมรสหรือญาติของเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วแต่กรณีเว้นแต่บุคคลนั้นจะพิสูจน์ได้ว่าตนมิได้มีส่วนรู้เห็นหรือยินยอมด้วยในการกระทำของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือคู่สมรสหรือญาติของเจ้าหน้าที่ของรัฐดังกล่าวมาตรา 8 บรรดาของขวัญ ของที่ระลึก เงิน หรือทรัพย์สินใดที่มีผู้มอบให้ในโอกาสที่เจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติงานตามตำแหน่งหน้าที่ของตน หรือราชการ หรือกิจการอื่นตามที่รับมอบหมาย แม้ว่าผู้มอบจะระบุให้เป็นการส่วนตัวก็ตาม ให้บรรดาสิ่งของหรือทรัพย์สินเหล่านั้นตกเป็นของรัฐทั้งสิ้น เว้นแต่เป็นสิ่งของหรือทรัพย์สินที่มีประกาศของคณะกรรมการป.ป.ช.ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐรับไว้เป็นของตนได้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ได้รับสิ่งของ หรือทรัพย์สินที่ตนไม่มีสิทธิรับไว้ตามวรรคหนึ่งต้องรายงานและส่งมอบสิ่งของหรือทรัพย์สินนั้นให้หน่วยงานที่ต้นสังกัดฯ

วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551

วาทะ ท่าน ปลัดมหาดไทย จาก มติชน ขออนุญาตเผยแพร่และเก็บไว้

"พงศ์โพยม"ปลุกนักปกครอง อย่ายอมให้"นักการเมืองขี่คอ"สัมภาษณ์โดย ศศินภา วัฒนวรรณรัตน์
"...เราเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราเป็นข้าราชการของประชาชน เป็นข้าราชการของบ้านเมือง เราไม่ใช่ข้าราชการของรัฐบาล รัฐบาลไม่ใช่เจ้าของเรา"
ผมอยากให้ข้าราชการวางตัวกลางๆ ไว้ สนองงานรัฐบาลเต็มความสามารถเท่าที่อยู่ในกรอบหลักเกณฑ์ ระเบียบกฎหมาย หรือทำเกินกว่าที่เขาสั่ง ขยันกว่าที่สั่งก็ได้ แต่ต้องไม่ผิดระเบียบกฎเกณฑ์ เพราะบางทีหิริโอตตัปปะ หรือศีลธรรมจรรยา ที่เราได้รับมาจากครอบครัว หรือสถาบันการศึกษา แม้ว่าเราเป็นปุถุชน ยังมีความอยาก และยังมีสิ่งแวดล้อมกดดัน ซึ่งผมเข้าใจ แต่เราต้องทำในสิ่งที่ไม่ควรทำให้น้อยที่สุด ถ้ามีโอกาสต้องเลิก ต้องเข้มแข็ง
แต่เวลาที่เราตัดสินใจมันมักจะมี 2 เรื่องที่เกี่ยวข้อง คือผลประโยชน์ของบ้านเมือง ของประเทศชาติ กับความพึงพอใจของประชาชน ถ้า 2 อันนี้ไปด้วยกันได้ก็ดี แต่ถ้าต้องเลือกข้าราช การจะต้องเลือกประเทศชาติก่อน แต่นักการเมืองมักจะเลือกความพึงพอใจของประชาชนก่อน เพราะเป็นคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง

คุณธรรมที่คนส่วนมากขาด จาก ข่าวสด

คุณธรรมที่คนส่วนมากขาด กุศโลบายเพื่อความสำเร็จธรรมะใต้ธรรมาสน์เสฐียรพงษ์ วรรณปกคุณธรรมที่คนส่วนมากขาดไปร่วมอภิปรายในงานสำคัญงานหนึ่ง ผู้อภิปรายท่านหนึ่งกล่าวว่า คนไทยมักขาดความรักความปรารถนาดีต่อผู้อื่น ชอบแต่ให้คนอื่นฉิบหาย แล้วท่านก็ยกตัวอย่างว่า จะเห็นได้เลยเวลาไฟไหม้บ้านคนอื่นก็ดี เวลาคนอื่นประสบอุบัติเหตุ เช่นโดนรถชน เป็นต้น ก็ดี จะมี "ไทยมุง" มากมาย มายืนดูความฉิบหายของคนอื่น ท่านว่าอย่างนั้นความจริงแล้วจะเหมาเอาว่าคนที่มายืนมุงดูเหตุการณ์ต่างๆ ที่ว่ามานั้น เป็นพวกชอบให้คนอื่นฉิบหาย ก็คงไม่ถูกนัก เพราะธรรมชาติของคนทั่วไป ไม่ว่าชาติไทยหรือชาติไหน เมื่อเห็นอะไรผิดปกติก็อดจะมาดูไม่ได้ การมามุงดูก็เพื่อให้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จะไปเหมาเอาหมดว่ามาดู เพื่อให้สะใจ เพื่อสุขใจที่เห็นคนอื่นฉิบหายก็คงไม่ถูกแต่ถ้าจะพูดว่า คนไทยมักไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการอนุโมทนา หรือยินดีด้วยกับความสำเร็จ หรือความสุขของคนอื่นล่ะก็พอฟังขึ้น ทั้งๆที่สมัยโบราณท่านปลูกฝังเรื่องนี้มาก แต่ปัจจุบันนี้ได้จางคลายลงไปมากในพระพุทธศาสนามีวิธีทำบุญอยู่อย่างหนึ่ง (ในสิบวิธี) คือการพลอยยินดี เมื่อเห็นผู้อื่นทำความดี เรียกว่า "อนุโมทนามัย" บุญกุศลสำเร็จด้วยการแสดงอาการพลอยยินดีด้วย"ผู้ใหญ่จะทำให้ดูเป็นตัวอย่าง เช่น เวลาผู้ใหญ่ท่านไปฟังธรรมมา หรือได้บริจาคเงินทำบุญอะไรมา ก็จะมาบอกลูกหลานว่า "พ่อแม่-ปู่ย่า ได้ทำบุญอย่างนั้นๆ มา ขอให้ลูกอนุโมทนาด้วยนะ" แล้วลูกหลานก็จะยกมือไหว้อนุโมทนาด้วยด้วยการทำอย่างนี้ ลูกหลานก็ได้บุญด้วย เป็นการแสดงออกซึ่งจิตใจที่บริสุทธิ์ พลอยยินดีกับการทำความดี ไม่อิจฉาริษยาที่เห็นคนอื่นทำดีการทำเช่นนี้นับเป็นคุณธรรมข้อหนึ่งชื่อ มุทิตา ซึ่งเป็นหนึ่งในหลัก "พรหมวิหาร" (เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา) พระท่านว่าเป็นธรรมที่ทำให้คนเป็นผู้ประเสริฐ (พรหม แปลว่า ประเสริฐ) หรือเป็นธรรมสำหรับผู้ใหญ่ (พรหม แปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า ผู้ใหญ่)สังคมใดถ้าผู้ใหญ่มีมุทิตา สังคมนั้นจะมีแต่ความสมัครสมานสามัคคี และมีความเจริญก้าวหน้า เพราะมุทิตานับเป็นคุณธรรมที่ "เสริมแรง" หรือกระตุ้นให้คนทำความดีว่ากันว่า ผู้ใหญ่ทำดีนั้นง่าย เพียงแค่พูดแสดงความชื่นชมยินดีกับลูกน้องประโยคเดียว ก็นับว่าได้ทำความดีแล้วเช่น "ดีใจด้วยนะ ขอแสดงความยินดีด้วย ที่ได้ทราบว่าคุณได้รับรางวัล" "งานนี้สำเร็จด้วยดี ก็เพราะคุณมีส่วนสำคัญมากขอขอบใจ ขอให้ช่วยกันนะ" ฯลฯผู้ใหญ่ที่มีมุทิตาต่อผู้น้อยอย่างนี้ ย่อมเป็นที่รักและเคารพของผู้น้อยอย่างไม่ต้องสงสัยทั้งๆ ที่เป็นเรื่องง่ายที่จะทำ แต่ก็ปรากฏว่าไม่ค่อยจะทำกัน ส่วนมากนอกจากจะไม่ชื่นชมยินดีกับความดีของลูกน้องแล้ว ยังแสดงความอิจฉาริษยาออกนอกหน้าเสียอีกผู้ใหญ่บางคนถือคติว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาจะต้อง อยู่ใต้ตนทุกอย่าง จะปล่อยให้เกินหน้าเกินตาไม่ได้ เดี๋ยวเหลิงปกครองยาก ยิ่งเห็นหรือได้ยินคนอื่นชื่นชมลูกน้องของตนให้รู้สึกว่า ทนไม่ได้เห็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนใด ทำท่าจะแข่งรัศมีของตน ก็คอยกดขี่หรือกลั่นแกล้ง เพราะกลัวว่าตนเองจะด้อย จะหมดความสำคัญผู้ใหญ่ที่คิดเช่นนี้ เป็นผู้ใหญ่ที่ขาดมุทิตาธรรม ถึงจะปกครองลูกน้องได้ก็ปกครองได้แต่กายของเขา หา "กำใจ" ของเขาได้ไม่ถ้าอยากให้ลูกน้อง และเพื่อนร่วมงานรักท่านอย่างสุดชีวิตจิตใจ ก็หัดรู้จักพลอยยินดีกับความสุขความสำเร็จของคนอื่นบ้างเถิดทำความดีอย่างนี้ไม่ต้องลงทุนอะไรเลยกุศโลบายเพื่อความสำเร็จมีคนพูดว่า กุศโลบาย ก็คือการโกหกนั่นเอง แต่คำจำกัดความนี้คงจะ "แรง" ไป สำหรับคำว่า "กุศโลบาย" เพราะตามศัพท์จริงๆ แปลว่า อุบายหรือวิธีที่ฉลาด วิธีที่ฉลาดไม่จำเป็นต้องเป็นวิธีที่โกหกคดโกงเสมอไปจริงอยู่วิธีการอาจมองเผินๆ ว่า เป็นการพูด หรือทำ "ไม่ตรง" ตามนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ต้องดูที่เจตนาและผลที่ออกมา ว่าพูดหรือทำด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์หรือไม่ ผลที่ออกมานั้นเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมหรือไม่ยกตัวอย่างที่ผมชอบยกอยู่เสมอคือ มีแม่ทัพท่านหนึ่งนำกองทัพเข้าสู้รบกับข้าศึก กองทัพของตนมีกำลังน้อยกว่ากองทัพของข้าศึก เหล่าทหารหาญทั้งหลายเห็นดังนั้นก็ขวัญไม่ค่อยจะดี แม่ทัพก็ทราบเรื่องนี้วันหนึ่ง แม่ทัพก็พานายทหารเข้าไปไหว้พระในโบสถ์แห่งหนึ่งล้วงเหรียญขึ้นมา กล่าวอธิษฐานดังๆ ว่า ถ้ากองทัพของข้าพเจ้าจะรบชนะข้าศึก ขอให้เหรียญนี้ออกหัว ว่าแล้วก็เขย่าเหรียญในมือ โยนลงบนพื้นเหรียญออกหัวท่านแม่ทัพหยิบเหรียญขึ้นมาเขย่า พลางอธิษฐานอีกเป็นครั้งที่สองแล้วโยนลง เหรียญออกหัวเช่นเดิมท่านทำอย่างนี้ถึงสามครั้ง เหรียญก็ออกหัวทุกครั้ง เหล่านายทหารทั้งหลายต่างก็ขวัญมาเป็นกอง ที่รู้ว่ากองทัพของตนจะชนะเพียงไม่กี่นาทีข่าวว่ากองทัพของตนจะรบชนะข้าศึก ก็แพร่กระจายไปทั่วกองทัพ ทหารหาญทั้งหลายต่างฮึกเหิม มีกำลังใจ ถึงคราวรบก็รบกันอย่างอุทิศ จนสามารถเอาชนะข้าศึกได้นายทหารคนสนิทพูดกับท่านแม่ทัพในวันหนึ่งว่า พระเจ้าอวยพรให้เราชนะก็ชนะจริงๆ แม่ทัพล้วงเหรียญขึ้นมาแบให้นายทหารคนสนิทดู พร้อมกล่าวว่า"ไม่ใช่ดอกคุณ เหรียญนี้ต่างหากที่ช่วยให้พวกเราชนะ"ปรากฏว่าเหรียญนั้นมีแต่ "หัว" ทั้งสองด้าน ซึ่งแม่ทัพท่านทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เพื่อนำมาใช้ในคราวคับขันอย่างนี้ก็เรียกว่า "กุศโลบาย" ของแม่ทัพ จะว่าแม่ทัพท่านโกหกหรือไม่ก็แล้วแต่จะคิด แต่เจตนาของแม่ทัพเป็นกุศลต้องการให้เกิดผลดีแก่ส่วนรวมในการดำเนินชีวิตของคนเรานั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ปัญญา อย่างน้อยก็ให้รู้จักวิธีแก้ไขปัญหาและวิธีการทำงานให้ประสบความสำเร็จ และก้าวหน้าไปด้วยดีคนทำงานอย่างโง่ๆ ไม่ศึกษาหาความก้าวหน้าในทางความรู้และประสบการณ์ ก็คงไม่ต่างกับตาแก่กับลูกชายจูงลาตาแก่คนหนึ่งกับลูกชายอายุประมาณไม่เกิน 10 ขวบ จูงลาผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งชาวบ้านพูดว่า "ดูตาแก่กับลูกชายสิ มีลาอยู่ทั้งตัวจูงตั้งสองคน ทำไมไม่ขี่คนหนึ่ง อีกคนหนึ่งจูง"ตาแก่ได้ยินดังนั้น จึงให้ลูกชายขึ้นขี่ลา ตัวเองจูงไปได้หน่อยหนึ่งมีคนพูดว่า "ดูเด็กน้อยคนนั้นสิ นั่งลาสบาย ปล่อยให้พ่ออายุมากแล้วจูง ทรมานคนแก่เปล่าๆ"คราวนี้ตาแก่ไล่ลูกชายลงตัวเองขึ้นนั่งหลังลาให้ลูกชายจูง ผ่านอีกหมู่บ้านหนึ่ง ชาวบ้านพูดว่า "ดูอีตาแก่คนนั้นสิให้เด็กตัวเล็กๆ จูงลา ตัวเองขี่สบายใจเฉิบ เอาเปรียบเด็กเหลือเกิน"ตาแก่รีบลงจากหลังลา คิดหนักจะทำอย่างไร จูงทั้งสองคนก็ถูกว่า ให้ลูกขี่ตนจูงก็ถูกว่า ตนขี่ให้ลูกจูงก็ถูกว่า อย่ากระนั้นเลยขึ้นขี่มันทั้งสองคนดีกว่า ว่าแล้วก็บอกให้ลูกขึ้นขี่ลาพร้อมกับตน ลาเดินหลังแอ่นด้วยความหนักชาวบ้านเห็นเข้าก็ชี้ให้กันดูว่า "ดูไอ้แก่กับเด็กคนนั้นสิ ขึ้นขี่ลาจนมันหลังแอ่น ทารุณสัตว์เหลือเกินนะ"นิทานก็เป็นเพียงนิทานอาจมิใช่เรื่องจริงก็ได้ แต่ "สาระ" ของนิทานก็มีอยู่ เรื่องนี้ต้องการชี้ว่า ปัญญาความรู้เท่านั้นจะเป็นตัวบอกว่าตาแก่ควรจะทำอย่างไรให้ถูกต้องเหมาะสม จะขี่ให้ลูกจูง หรือจะให้ลูกขี่ตัวเองจูง หรือผลัดกันขี่ ความเหมาะสมอยู่ที่ไหน อย่างไรคนมีปัญญาจะรู้เองเพราะฉะนั้นในการดำเนินชีวิตจึงต้องการปัญญา คอยชี้แนะแนวทาง นักสู้ชีวิตควรแสวงหาปัญญาและประสบการณ์ไว้ให้มาก อุบายที่จะนำออกใช้จะได้เป็น "กุศโลบาย" (อุบายอย่างฉลาด) มิใช่อุบายโง่ๆ แบบตาแก่

วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551

กองทุนคนพอเพียง รวยกว่าประชานิยม จาก ไทยรัฐ

กองทุนคนพอเพียง รวยกว่าประชานิยม [19 ก.ย. 51 - 16:10]

นัก วิชาการในห้องแอร์ นักการเมืองประชานิยมเชื่อว่า การพัฒนาที่สามารถพลิกฟื้นความยากจนได้... ต้องให้คนจนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายที่สุด

นโยบายที่ว่า...หว่านเงินกู้ให้กับชาวบ้านผ่านทางกองทุนต่างๆ และธนาคารของรัฐไปยังชนบท ด้วยเชื่อว่า เงินคือพระเจ้า...ชาวบ้านมีเงิน ชีวิตก็จะมีความสุขขึ้นมาได้เอง

แต่สิ่งที่นักวิชาการระดับด็อกเตอร์มอง นักเลือกตั้งประชานิยมเชื่อ... ชนชั้นรากหญ้า ผู้ใช้ชีวิตยืนตากแดดกลางทุ่ง นอนกางมุ้งใต้หลังคาสังกะสี ใน อ.พิมาย จ.นครราชสีมา กลับเห็นตรงข้าม

“เอากองทุนมาให้ เอาโน้นเอานี่มาให้ แต่ทำไปทำมาเรากลับมีหนี้มากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งอยากได้เงินมากเท่าไร พยายามขยันทำมาหาเงินเท่าไร หนี้ยิ่งกลับเพิ่มมากเท่านั้น

เราลงทุนทำนามากขึ้น อยากได้เงินไปซื้อโน้นซื้อนี่ แต่สุดท้ายเราแทบไม่ได้อะไรเลย คนที่ได้กลับเป็นพ่อค้าขายปุ๋ย ขายเคมียาฆ่าแมลงในตลาดโน้น”

นายอนุพงษ์ พุฒกลาง ประธาน กองทุนสวัสดิการชุมชนคนพอเพียง ต.กระเบื้องใหญ่ ต.สัมฤทธิ์ อ.พิมาย เล่าถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

และไม่น่าเชื่อ มุมมองของชนชั้นรากหญ้า ช่างสอดคล้องต้องกับรายงานการศึกษาของนักวิจัย มหาวิทยาลัยเอ็มไอที สหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

พบว่า...เงินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองของรัฐบาลไทยที่ทำลงไปนั้น ประชาชนในหมู่บ้าน ไม่ได้นำเงินไปลงทุนในภาคเกษตร หรือธุรกิจต่อเนื่องเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายของโครงการแต่อย่างใด

ชาวบ้านกู้เงินไปใช้ในการบริโภคเป็นส่วนใหญ่ โดยรายจ่ายหลักคือการซ่อมแซมบ้าน ซ่อมแซมรถ ซื้อน้ำมันรถ นม เหล้า บุหรี่

และตั้งแต่เงินกู้จากกองทุนเข้าไปในหมู่บ้าน กลับทำให้การกู้เงินนอกระบบ กู้เงินจากสถาบันการเงินขยายตัวเพิ่มตามไปด้วย...กู้เอาไปใช้หนี้คืนกองทุน หมู่บ้านฯ

งานวิจัยชิ้นนี้ ยังพบอีกว่า หนี้เสียของกองทุนฯ ซึ่งวัดจากการผิดนัดชำระหนี้เกิน 3 เดือน มีเพิ่มสูงถึง 19%

ต่างจากที่สถาบันการเงินของรัฐ รายงานว่ามีหนี้เสียแค่ 4%

กองทุนที่รัฐหยิบยื่นก่อให้เกิดหนี้...ไม่เหมือนการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“เราอยู่แบบพอเพียงถึงจะไม่มีเงิน แต่เราก็มีกิน ไม่อดตาย และไม่มีหนี้ ที่สำคัญทำให้ชาวบ้านสามารถยืนได้โดยลำแข้งของเราเอง โดยไม่ต้องหวังพึ่งพาคนอื่น ชีวิตอย่างนี้ยั่งยืนกว่า มั่นคงกว่า...หวังพึ่งพาแต่ความช่วยเหลือจากรัฐบาล”

เป็นความรู้สึกจากใจ ประธานกองทุนสวัสดิการชุมชนคนพอเพียงฯ ที่ได้สัมผัสการหวังพึ่งความช่วยเหลือจากภาครัฐมาไม่น้อยว่า ผลสุดท้ายมักจะลงเอยเช่นไร

ชาวบ้านที่นี่เชื่อว่า การพึ่งพาตัวเองดีกว่า มีความสุขกว่า หลังจากช่วยกันจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนพอเพียง...โดยการชักชวนของศูนย์ เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

ให้สมาชิกฝากเงินกับกองทุนวันละ 1 บาท

ฝากไว้ ไม่ใช่เป็นกองทุนให้ชาวบ้านด้วยกันกู้ยืม...แต่ฝากไว้เป็นกองทุน ที่แบ่งเงินออกเป็น 3 กอง

กองแรก 50% ของเงินฝาก เก็บไว้เป็นกองทุนสวัสดิการสำหรับช่วยเหลือชาวบ้านด้วยกันเอง ในยามเจ็บไข้ได้ป่วยต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล คลอดบุตร ยามแก่เฒ่า และเสียชีวิต

ฝากวันละ 1 บาท ครบ 6 เดือน ได้สิทธิ...ป่วยได้ค่ารักษาตัวที่โรงพยาบาล คืนละ 100 บาท ไม่เกิน 10 คืน

คลอดบุตรได้ 1,000 บาท ต่อครั้ง ป่วยจากการคลอดบุตร ได้ค่ารักษาพยาบาล 100 บาทต่อคืน ไม่เกิน 5 คืน

บุตรที่คลอด ได้เงินค่ารับขวัญ 500 บาท และต้องสมัครเป็นสมาชิกกองทุน ฝากวันละ 1 บาท ตั้งแต่แรกเกิด

เสียชีวิตได้เงินช่วยเหลือ 3,000-30,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะการออมนานแค่ไหน

เรียกว่า ไม่ต่างกับการประกันสุขภาพและประกันชีวิตของภาคเอกชนเท่าไร

กองที่สอง 30% ของเงินฝากเก็บไว้เป็นกองทุนสำหรับลงทุน ในวิสาหกิจชุมชนตามที่ชาวบ้านเรียกร้องต้องการ

ที่เหลืออีก 20% กันไว้เป็นทุนในการติดต่อเชื่อมโยงกับชุมนุมเครือข่ายอื่นๆ ในต่างจังหวัด ไว้คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันยามเดือดร้อนขัดสน

“ก่อนที่คิดจะตั้งกองทุนนี้ขึ้นมา ชาวบ้านก็ถกเถียงกันอยู่นานพอสมควร เพราะชาวบ้านไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไรว่าจะเป็นจริง ทำได้จริง

ฝากเงินไปแล้วจะไม่ถูกโกงเหมือนที่ผ่านมาหรือเปล่า เพราะที่โรงพยาบาลพิมาย เคยตั้งกองทุนเหมือนกัน แต่เป็นกองทุนฌาปนกิจ ที่ชาวบ้านได้จ่ายเงินไปแล้วคนละหลายพันบาท ตั้งได้แค่ 2 ปีก็ล้ม ชาวบ้านถูกโกงถูกเชิดเงิน

แต่จากการได้พูดคุยกัน ถึงความเดือดร้อนของพวกเราด้วยกันเองที่มีปัญหาเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย ถึงทางรัฐบาลจะมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคให้ก็ตาม แต่ชาวบ้านรู้สึกว่าไม่ได้รับการรักษาพยาบาลที่ดีพอ เลยเห็นด้วยที่เราจะมีกองทุนแบบนี้ขึ้นมา”

หลังจากรวบรวมสมาชิกเริ่มแรกได้ครบ 100 คน กองทุนจึงได้ฤกษ์ก่อตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อ 19 ต.ค. 2549 และหลังจากชาวบ้านได้เห็นผลงานเป็นประจักษ์ว่า เจ็บป่วย คลอดลูกได้เงินช่วยเหลือจริง จำนวนสมาชิกก็เลยเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนกองทุนเงินฝากวันละ 1 บาท พุ่งเพิ่มขึ้นมาเป็น 2.4 แสนบาท

ก่อตั้งได้ 1 ปี วิสาหกิจชุมชนอีกแห่ง ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา...ธนาคารขยะ

นายประกิต ร่มรื่น ผู้จัดการธนาคารขยะ เล่าถึงสิ่งที่ชาวบ้านได้จากการรู้จักพึ่งพาตัวเองแบบพอเพียงว่า ตอนนั้นชุมชนของเรามีปัญหาขยะทิ้งเกลื่อนกลาด เต็มไปหมด โดยเฉพาะที่โรงเรียน ประกอบกับพ่อค้าของเก่ามารับซื้อขยะแบบกดราคา คณะกรรมการกองทุนจึงคิดจัดตั้งธนาคารขยะขึ้นมา รับซื้อขยะจากชาวบ้านในราคายุติธรรม

อย่างเมื่อก่อนพ่อค้ารับซื้อขวดพลาสติกแบบเหมา ให้ราคา กก.ละ 3 บาท แต่ธนาคารขยะรับซื้อ สอนให้ชาวบ้านแยกขยะ ขวดพลาสติกใส ให้ราคา กก.ละ 16 บาท

“กิจการธนาคารขยะของเรา ไม่เพียงช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้มากขึ้น ยังทำให้หมู่บ้านเราสะอาดมากขึ้น หาขยะแทบไม่ได้เพราะชาวบ้านแย่งกันเก็บมา ขาย เดือนๆหนึ่งมีรายได้จากขายขยะ 70-80 บาท ต่อครอบครัวเลยทีเดียว”

จากนั้นไม่เท่าไร เมื่อเงินกองทุนงอกเงยเพิ่มขึ้นมา วิสาหกิจชุมชนที่ชาวบ้านต้องการอีกอย่างก็เกิดขึ้นตามมาอีก

เอาเงินฝากวันละ 1 บาท...มาลงทุนในกิจการโรงปุ๋ย

ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ไว้ขายสมาชิกในราคาพิเศษ และขายส่งออกในราคาที่บวกกำไรแบบมิตรภาพ

“จะปลูกข้าวได้กำไรขาดทุนก็อยู่ที่ปุ๋ยนี่แหละ ขนาดตอนที่ข้าวมีราคา ใช้ปุ๋ยเคมีขายข้าวแล้วได้ทุนคืน ไม่ขาดทุนก็เก่งแล้ว แต่พอมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่เราทำเอง ตอนนี้มีกำไรเหลือ ไร่ละ 600-700 บาทแล้ว”

ตอนนี้ได้ขยายต่อไปทำกิจการธนาคารต้นไม้ เพาะพันธุ์ไว้ปลูกเองและขาย ตามด้วยลงทุนเปิดร้านค้าของชุมชน เอาสินค้าที่ชาวบ้านผลิตได้มาขายกันเอง งานขายสินค้าอบายมุข เหล้าบุหรี่

ชั่วเวลาแค่ไม่ถึง 2 ปี การรวมตัวพึ่งพาตัวเอง ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ส่งผลเห็นเป็นประจักษ์ นายอนุพงษ์ บอกว่า ทุกวันนี้คนในหมู่บ้านถึงจะไม่รวยขึ้น แต่หนี้ก็ไม่เพิ่ม และดูจะมีความสุขมากขึ้นกันทุกครอบครัว

เห็นได้จากชาวบ้านกล้าพบปะพูดคุยกันมากขึ้น...เพราะวันนี้ตัวเอง มีหนทางออกที่ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้

ผิดกับก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยกล้าสู้หน้าพูดคุยกัน...ด้วยเป็นทุกข์ อายเรื่องหนี้ เลยพยายามหนีหน้าห่างกัน..