วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551

เตือน4ผู้สมัคร"อำนาจเจริญ"

วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11131 มติชนรายวัน
เตือน4ผู้สมัคร"อำนาจเจริญ"

นาย สมภพ สังข์สุวรรณ ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กต.) ประจำเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ เปิดเผยว่า วันที่ 28 กันยายน จะมีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ซึ่งมีผู้สมัคร 4 คน คือนายวิชัย บุญเสริฐ หมายเลข 1 น.ส.วิภาดา ต้นทอง หมายเลข 2 นายศักดิ์ชัย ตั้งตระกูลวงศ์ หมายเลข 3 และนายสมพรชัย คงไชย หมายเลข 4
"ฝากเตือนผู้สมัครทุกคน ว่าอย่าคิดซื้อสิทธิขายเสียงอีก ไม่เช่นนั้นจะโดนใบเหลืองใบแดงอยู่ร่ำไป ทำให้เสียเวลาจัดการเลือกตั้งใหม่ เสียเวลาพัฒนาบ้านเมือง ประชาชนเสียโอกาส"
ข่าวแจ้งว่า การจัดการเลือกตั้งครั้งนี้เนื่องจากศาลอุทธรณ์ ภาค 3 มีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่ หลังคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลาง มีมติให้ใบเหลืองนายวิชัย บุญเสริฐ อดีตนายกเทศมนตรี เนื่องจากเห็นว่าเป็นการเลือกตั้งที่เชื่อได้ว่าไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม
(กรอบบ่าย)

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ข่าวเลือกตั้ง

ข่าวต้นชั่วโมงศูนย์ข่าวสปข.2 วันที่ 23 สิงหาคม 2551 เวลา 14.10 น. (23/8/2008)
สองอดีตนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญ ลงสมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญอีกครั้ง สองอดีตนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญ ลงสมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญอีกครั้ง หลังศาลมีคำสั่งให้เลือกตั้งใหม่ -เสียงรายงาน-(ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้มีคำสั่งตามคดีหมายเลขแดง ที่ 2596/2551 เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 ให้มีการเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญใหม่ ตามนัยมาตร 97 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 เลือกตั้งภายใน 60 วัน ภายหลังประกาศผลการเลือกตั้งหรือกรณีคัดค้านการเลือกตั้งนายกเทศมนตรี ในวันที่ 28 กันยายน 2551 เป็นวันเลือกตั้ง นายสุธรรม ยืนสุข ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ เปิดเผยว่า หลังจากที่ คณะกรรมการการเลือกประจำจังหวัดอำนาจเจริญ ประกาศให้มีการเลือกตั้ง และเปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 18-22 สิงหาคม 2551 มีผู้สนใจสมัคร จำนวน 4 คนได้แก่ นายวิชัย บุญเสริฐ ผู้สมัครหมายเลข 1, นางสาววิภาดา ต้นทอง ผู้สมัครหมายเลข 2 , นายศักดิ์ชัย ตั้งตระกูลวงศ์ ผู้สมัครหมายเลข 3 และนายสมพรชัย คงไชย ผู้สมัครหมายเลข 4 ในการเปิดรับสมัครครั้งนี้มีอดีตนายกเทศมนตรีฯ 2 คน ลงสมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญอีกครั้ง กับผู้สมัครอิสระอีก2คน ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ กล่าวเสริมอีกว่า การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญใหม่ครั้งนี้คาดการว่า การแข่งขันจะไม่รุนแรงเท่าครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ แบ่งเขตเลือกตั้ง 21 เขต จำนวน 29 หน่วยเลือกตั้ง มีประชากรที่มีสิทธิเลือกตั้ง 17,187 คน วันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2551 เป็นวันเลือกตั้ง ตั้งแต่เวลา 08.00 น. -15.00 น.)/ สวท.อำนาจเจริญ/รายงานศรีสะเกษสร้างความเข้าใจภัยจากสื่อ ประชาชนอาจเสียเปรียบจากการซื้อสินค้า จัดสัมมนาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการคุ้มครองผู้บริโภค นายไมตรี อินทุสุต รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่าปัจจุบันการเสนอขายสินค้าและบริการต่างๆต่อประชาชนนับวันมีรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อชักจูงให้ผู้บริโภคสนใจซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น เช่น การขายตรงโดยผ่านตัวแทน การโฆษณาผ่านทางหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ สื่อวิทยุ สื่อวิทยุกระจายเสียง สื่อป้ายโฆษณาแผ่นพับใบปลิวเป็นต้น ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้ผู้บริโภคตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบ เพราะไม่ทราบราคาตามภาวะตลาด คุณภาพสินค้าที่เป็นจริง นายไมตรี อินทุสุต กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อให้ประชาชนได้สิทธิที่จะได้รับข่าวสารรวมทั้งคำพรรณนาคุณภาพของสินค้าหรือบริการที่ถูกต้อง สิทธิที่จะมีอิสระในการเลือกหาสินค้าหรือบริการ สิทธิที่จะได้รับความเป็นธรรมจากการทำสัญญาหรือนิติกรรมต่างๆ และสิทธิที่จะได้รับการพัฒนาค่าชดเชยการความเสียหายที่เกิดจากการได้สินค้าหรือบริการ และรับรู้ทางกฎหมายใหม่ๆ ที่เป็นระเบียบขั้นตอนในการเรียกร้องสิทธิ และข้อพิจารณาในการเลือกซื้อหรือเลือกใช้บริการจากการโฆษณาต่างๆ จังหวัดศรีสะเกษได้จัดสัมมนาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการคุ้มครองผู้บริโภคขึ้น มีผู้ร่วมกว่า 300 คน /สวท.ศรีสะเกษ/ข่าว fffffffอำนวย ระดาบุตร บรรณาธิการข่าว สายเพชร เภสัชชา/อ่าน
ข้อมูลจาก :: อำนวย ระดาบุตร สปข.2 (อุบลราชธานี) วันที่ :: 23/8/2551

ความสามัคคี ตามแนวพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ความสามัคคี ตามแนวพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คุณธรรมความสามัคคีตามแนวพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว28 มีนาคม พ.ศ. 2550 06:00:00กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : “...ในปัจจุบันนี้เป็นที่ทราบว่า ประเทศชาติอยู่ในภาวะที่ต้องอาศัยความเข็มแข็ง เพื่อที่จะให้อยู่รอด ประเทศไทยจะอยู่ได้ก็ด้วยทุกคน ทุกฝ่ายสามัคคีกัน ความสามัคคีนั้นได้พูดอยู่เสมอว่าต้องมี แต่อาจจะเข้าใจยากว่าทำไมสามัคคีจะทำให้บ้านเมืองอยู่ได้ สามัคคีก็คือ การเห็นแก่บ้านเมืองและช่วยกันทุกวิถีทาง เพื่อที่จะสร้างบ้านเมืองอยู่ได้ สามัคคีนี้ก็คือ การเห็นแก่บ้านเมือง และช่วยกันทุกวิถีทาง เพื่อที่จะสร้างบ้านเมืองให้เข้มแข็ง ด้วยการเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน และไม่ทำลายงานของกันและกัน และทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ต้องส่งเสริมงานของกันและกัน และไม่ทำลายงานของกันและกัน มีเรื่องอะไรให้ได้พูดปรองดองกัน อย่าเรื่องใครเรื่องมัน และงานก็ทำงานอย่างตรงไปตรงมา นึกถึงประโยชน์ส่วนรวม...” (พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานในพิธีประดับยศนายตำรวจชั้นนายพล ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน วันพฤหัสบดีที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๑๙) จากพระราชดำรัสดังกล่าว พอจะสรุปได้ว่า ความสามัคคี คือ ความสามารถจะทำงานเพื่อส่วนรวม หรือความพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกันและกัน เพื่อเอื้อประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งความสามัคคีแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ ความสามัคคีของวิชาการ และความสามัคคีในจิตใจ ความสามัคคีวิชาการคือ การประสานความรู้ และทักษะของผู้ที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ มากมาย เพื่อส่งผลสำเร็จในด้านต่าง ๆ มาสู่ประเทศ ความสามัคคีในจิตใจเป็นลักษณะของการปรองดองกัน โดยเกิดจากความเมตตากรุณากันและกัน มีจิตใจผูกพันที่จะช่วยเหลือกันและกัน เพื่อให้งานนั้น ๆ บรรลุเป้าหมาย คำว่า “สามัคคี” แปลว่า ความพร้อมเพรียง ได้แก่ ความพร้อมเพรียงกันทางกายวาจา และใจ พร้อมเพรียงช่วยกันทำกิจที่บังเกิดผลเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม พร้อมเพรียงกันทำงานในหน้าที่ของตน ใครมีหน้าที่อย่างไร ก็ทำอย่างนั้น ตั้งใจทำให้เต็มกำลัง เต็มความสามารถของตน อย่างนี้เรียกว่า “สามัคคี” ปัจจัยเกื้อหนุนให้เกิดความสามัคคี คือ ความสามัคคีกลมเกลียวกัน หรือความร่วมมือและร่วมใจกัน เป็นสิ่งที่สำคัญที่คนไทยทุกคน ๆ คนพึงมีอยู่ในจิตสำนึก และช่วยกันสร้างสรรค์ให้เกิดขึ้น พื้นฐานที่สุดของการจรรโลงความสามัคคีกลมเกลียวกันให้บังเกิดขึ้น และดำรงอยู่ต่อไปอย่างแน่นแฟ้น คือ การรู้จักหน้าที่ของตนเอง ในหมู่สมาชิกของสังคม และประเทศนั้น ๆ กล่าวคือ ผู้ใดมีภาระหน้าที่อันใดอยู่ ก็เร่งกระทำให้สำเร็จลุล่วงไปให้ทันการณ์ทันเวลา โดยเต็มกำลัง ความรู้ ความสามารถ และโดยบริสุทธิ์จริงใจ ผลงานของแต่ละคนจักได้ประกอบส่งเสริมกันขึ้นเป็นความสำเร็จและความมั่นคงของชาติ การที่จะเกิดความสามัคคีได้ในการกระทำต้องเริ่มจากใจภายในเสียก่อน ถ้าทุกคนมีความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันแล้ว ประเทศชาติย่อมคลาดแคล้วจากภัยของศัตรู และตั้งมั่นมีความสุขสมบูรณ์อยู่ได้ หากขาดความสามัคคี ไม่รักใคร่ไว้วางกัน ปราศจากความปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน การดำเนินงานย่อมจะไม่สำเร็จ ธรรมที่เสริมสร้างความสามัคคีของหมู่คณะคือ สังคหวัตถุ ๔ ประการซึ่งได้แก่ ทาน คือ การให้ปันของแก่ผู้อื่นที่ควรให้ปัน ตลอดจนให้ความรู้ ความเข้าใจ และศิลปวิทยา ปิยวาจา คือ พูดจาปรารัยด้วยถ้อยคำอ่อนหวานไพเราะเป็นที่เจริญใจ มีวาจาที่นิ่มนวลไพเราะ อ่อนหวาน เป็นคุณ ทำให้เกิดความพอใจแก่ผู้ได้ยินได้ฟัง อัตถจริยา คือ การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กันและกัน ช่วยเหลือกันด้วยกำลังกาย กำลังความคิด และกำลังทรัพย์ เป็นต้น สมานัตตตา คือ ความเป็นผู้วางตนเหมาะสม ประพฤติปฏิบัติตามที่ควรจะเป็น วางกิริยาอัธยาศัยให้เหมาะกับฐานะ หรือตำแหน่งหน้าที่ การเสริมสร้างความสามัคคี มีแต่ได้ไม่มีเสียหาย ขอให้ปรารถนาดีต่อกันอย่างจริงจัง และปฏิบัติตามธรรม ๔ ประการ ข้างต้น เมื่อได้ประพฤติปฏิบัติ ความสามัคคีย่อมจะเกิดขึ้น เมื่อเกิดความสามัคคีขึ้นแล้ว การงานทุกอย่างแม้จะยากสักเพียงใด ก็กลายเป็นง่าย ชีวิตมีแต่ความราบรื่น แม้จะเกิดอุปสรรคก็สามารถขจัดให้หมดสิ้นได้ ดังคำกล่าวที่ว่า “สามัคคีคือพลัง” เพียงแต่ทุกคนดำรงชีวิตบนพื้นฐานแห่งคุณธรรม ให้ทุกคนมีความรัก และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีความสามัคคีและเสียสละเพื่อส่วนรวม ดังพุทธภาษิตว่า “สุขา สงฆสส สามคี แปลว่า ความสามัคคีของหมู่ทำให้เกิดสุข” เอกสารอ้างอิง คู่มือครู :การอบรมความรู้และจริยธรรมเพื่อชีวิตตอนที่ ๒ เขียนโดยอาจารย์กนก จันทร์ขจร หนังสือวัฒนธรรมกับสันติภาพ ของ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติhttp://www.bangkokbiznews.com/2007/03/28/WW06_0607_news.php?newsid=61381

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ความเพียบพร้อม จากมติชน 24 สค.51

ความเพียบพร้อมคอลัมน์ ธรรมะวันหยุดพระราชสุธี (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ.9) วัดเทวราชกุญชร วรวิหาร watdevaraj@hotmail.comคนเราทุกคนเมื่อเกิดมาแล้ว ถ้าใครได้ปฏิบัติตามหลักของการทำบุญ 3 ประการคือ ทาน การให้ ศีล การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย และภาวนา การอบรมฝึกฝนจิตใจแล้ว คงไม่มีใครกล้าที่จะปฏิเสธ หรือพูดว่าไม่ยินดี ไม่ต้องการความสุข ความเพียบพร้อมในทุกด้าน อันเป็นผลที่จะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการศึกษา หน้าที่การงาน หรือแม้แต่การดำเนินชีวิตในประจำวัน ก็ล้วนแล้วแต่ต้องการให้มีพร้อมในทุกสิ่งทุกอย่างด้วยกันทั้งสิ้นธรรมะหมวดหนึ่ง ที่กล่าวถึงความพรั่งพร้อม หรือความสมบูรณ์แบบไว้ เมื่อเราทำบุญครบทั้งสามประการ คือ ทาน ศีล ภาวนา อยู่บ่อยๆ บุญเหล่านี้ก็จะติดตามตัวเราไปตลอด ไม่สูญหาย และสามารถเสวยผลแห่งบุญนี้ตลอด ตามความปรารถนา อีกทั้งยังสามารถอำนวยให้เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยสมบัติอีกด้วย สมบัติ แปลว่า ความถึงพร้อม ความสมบูรณ์แห่งองค์ประกอบต่างๆ เป็นการอำนวยผลประโยชน์ของบุญ คือ ความดีที่ได้กระทำมา เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ช่วยเสริมความดีนั่นเอง มีอยู่ด้วยกัน 4 ประการ1. คติสมบัติ ความถึงพร้อมด้วยคติ ได้แก่ การเกิด การอยู่อาศัย การดำเนินชีวิตในถิ่นที่มีแต่ความเจริญ รุ่งเรือง มีสภาพแวดล้อมที่ดี มีแนวทางในการดำเนินชีวิตที่ประสบผลสำเร็จ ไม่มีความลำบากในเรื่องของปัจจัยต่างๆ อยู่ในสถานที่เอื้อประโยชน์ หรือเหมาะสมในการสร้างบุญกุศล คุณงามความดี อบรมวาสนาบารมีธรรม 2. อุปธิสมบัติ ความถึงพร้อมด้วยรูปกาย ได้แก่ การมีรูปกายที่สวยงาม มีอาการครบ 32 ประการ มีราศีดี มีบุคลิกลักษณะสง่างาม มีร่างกายที่แข็งแรง มีสุขภาพดี ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน3. กาลสมบัติ ความถึงพร้อมด้วยกาล ได้แก่ การเกิดอยู่ในสมัยที่บ้านเมืองมีแต่ความสุข ความสงบร่มเย็น มีผู้นำที่ดี มีการปกครองที่ดี ผู้ใหญ่ไม่ข่มเหงรังแกผู้น้อย หรือผู้ที่อ่อนแอกว่า และคนในสังคมที่อยู่ร่วมกัน เป็นหมู่ เป็นคณะ ก็เป็นคนมีศีล มีธรรม รักใคร่สามัคคีปรองดองกัน ยกย่องคนที่ทำความดี ไม่ส่งเสริมคนที่ทำผิดคิดชั่ว4. ปโยคสมบัติ ถึงพร้อมด้วยการประกอบความเพียร ได้แก่ การนำความเพียรไปขวนขวายประกอบกิจการ ทำหน้าที่การงานในทางที่ถูก ที่ควร ประกอบกิจการงานด้วยความถูกต้อง ดีงาม ซื่อสัตย์สุจริตสมบัติ หรือความถึงพร้อมทั้ง 4 ประการนี้ จะเกิดมีขึ้นได้ ก็ด้วยการประกอบบุญกุศล คุณงามความดีเป็นเบื้องต้น เป็นสมบัติที่ติดตามและติดตัวไปทุกที่ ไม่มีใครสามารถที่จะลักขโมยเอาไปได้ ใครที่อยากจะทำให้ชีวิตในชาตินี้และชาติหน้ามีแต่ความสงบร่มเย็น เป็นสุข เป็นคนที่เพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ ก็อย่าลืมประกอบบุญกุศลเป็นประจำ จะประสบผลสำเร็จเป็นแน่แท้

คิดเป็นทำเป็นตามแนวพุทธธรรม จากมติชน 24 สค.51

คิดเป็นทำเป็นตามแนวพุทธธรรม 3 คิดแบบแยกแยะองค์ประกอบคอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศโดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
สัปดาห์ที่แล้วได้เขียนถึงวิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย วันนี้ก็ว่าด้วยวิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบพระท่านมักจะสอนกันว่าความเข้าใจผิด ความหลง หรือความไม่รู้ตามเป็นจริง มักจะเกิดเพราะ "ภาพรวม" ที่เรามองเห็น เพราะฉะนั้นถ้าอยากให้เข้าใจอะไรถ่องแท้ ตามที่มันเป็นจริงๆ จะต้องมองหรือคิดแบบแยกแยะองค์ประกอบท่านยกตัวอย่างนิทานเรื่องหนึ่ง สามีภรรยาคู่หนึ่งเพิ่งผ่านการแต่งงานไปใหม่ๆ แบบที่โบราณว่าอยู่ด้วยกัน "ก้นหม้อยังไม่ดำ" อะไรทำนองนั้น เปรียบแบบนี้คนสมัยโลกาภิวัตน์ไม่เข้าใจ เพราะว่าไม่ได้ใช้หม้อดินหุงข้าวกินอีกต่อไปแล้ว เอาเป็นว่าเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ก็แล้วกันสามีเป็นคนขี้หึง เห็นภรรยาคุยกับใครที่เป็นบุรุษไม่ได้ หาว่าจะนอกใจทุกที วันหนึ่งเห็นภรรยาคุยกับชายคนหนึ่งอยู่ ก็โกรธหาว่าภรรยานอกใจ จึงทะเลาะกันอย่างรุนแรง ภรรยาทนอยู่ไม่ไหว จึงหอบผ้าผ่อนหนีสามีกลับบ้านแม่สามีวิ่งตามภรรยาไป ระหว่างทางพบพระอรหันต์รูปหนึ่งเดินสวนทางมา จึงเอ่ยปากถาม"พระคุณเจ้า เห็นสตรีนางหนึ่งผ่านมาทางนี้ไหม""สตรีหรือโยม ไม่เห็นมีนี่" พระท่านตอบเยือกเย็น"สตรีสาวสวย อายุ 20 กว่า สูงโปร่ง ผิวขาวสวยเลย พระคุณเจ้าเห็นผ่านมาทางนี้ไหม" ชายหนุ่มบรรยายรูปร่างภรรยาให้พระคุณเจ้าฟังพระคุณเจ้าตอบอย่างเยือกเย็นเหมือนเดิมว่า "อ้อ...เมื่อกี้อาตมาเห็นโครงกระดูกโครงหนึ่งผ่านมาทางนี้ ไม่ได้ใส่ใจว่าหญิงหรือชาย"ฟังดูก็เพียงนิทานแต่คิดให้ลึก ที่พระคุณเจ้าท่านพูดนั้น ท่านพูดตามที่ท่านมองเห็น ท่านมอง "ทะลุ" สมมติบัญญัติที่ชาวโลกเขายึดติด ทะลุเนื้อหนังมังสา ที่ปุถุชนหลงใหลได้ปลื้มว่ามันสวยมันงาม ทะลุผ่านไปถึง "สภาวะ" ที่แท้จริงว่า แท้ที่จริงแล้วมันไม่มีอะไร มันก็คือส่วนประกอบทั้งหลายเกาะกุมกันอยู่ และลึกลงไปแล้วมันก็คือ "โครงกระดูก" ส่วนต่างๆ โยงใยกันอยู่นั่นเองส่วนนี้คือกะโหลกศีรษะ ต่ำลงมาคือกระดูกคอลูกกระเดือก ต่ำลงมาก็คือกระดูกไหล่ ซี่โครง แขน ตะโพก ขา แข้ง เท้า ส่วนต่างๆ เหล่านี้ มันเชื่อมโยงกันอยู่โดยมีเนื้อหนังมังสาห่อหุ้มอยู่มันก็เท่านั้น เท่านั้นจริงๆ ถ้ามองทะลุถึงขนาดนี้แล้ว ความเข้าใจก็จะกระจ่างขึ้นมองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีสาระอะไร ความสวยความงามที่ว่านั้น มันเพียงความหลงใหล ความงมงาย เพราะมิได้รู้สภาวะที่แท้จริงของสิ่งเหล่านี้ในพระศาสนา ท่านเน้นท่านย้ำกันมากว่าให้หัดมอง หัดคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ แยกมองทีละส่วนๆ แล้วจะเข้าใจความจริง ทางศาสนานั้น ท่านสอนให้รู้ความจริง แล้วจะได้ไม่ยึดติด ไม่หลงงมงายในกาม วิธีนี้ได้ผลมากในการปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น ดังที่ท่านได้รวมวิธีมอง วิธีคิดแบบนี้ไว้เป็นส่วนหนึ่งของการปฏิบัติกรรมฐาน เรียกว่าอสุภกรรมฐาน (หัดมองว่าไม่งาม) การจะมองให้เห็นว่าของสิ่งนั้นไม่งาม ก็ต้องแยกแยะส่วนประกอบออกทีละชิ้นๆ หรือมองแยกถ้าหากมองรวมแล้ว จะไม่มีทางเห็นความจริง ยิ่งมองเท่าไรก็ยิ่งเห็นแต่ความงาม เหมือนชายหนุ่มขี้หึงมองภรรยานั่นแหละ ที่พูดมานี้เป็นเรื่องของศาสนา เป็นเรื่องของผู้ปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น แต่ถ้าพูดสำหรับปุถุชนคนมีกิเลส คนที่ยังจะต้องเวียนว่ายอยู่ในโลกอย่างพวกเราๆ ทั้งหลาย ที่ไม่ต้องการบรรลุมรรคผลนิพพานเล่า การมองแบบนี้มีประโยชน์อย่างไรผมว่ามีนะครับ สมมุติเอาง่ายๆ ถ้าเราอยากจะรู้ว่าผู้หญิงที่เราหลงรักนั้น "สภาวะที่แท้จริง" ของเธอเป็นอย่างไร ลองใช้วิธีมอง วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบดูสิครับ จะเห็นความจริงมองรวมๆ แล้ว "คุณติ๋ม" แฟนเรานี้สวยทีเดียว หุ่นงามสมส่วน ไม่อ้วนไม่ผอมกำลังดี มันช่างสวยอะไรเช่นนั้น ใช่ครับ ถ้ามองรวมๆ (อยากเรียกว่ามองลวกๆ มากกว่า)แต่ถ้าใช้เวลาพินิจพิเคราะห์ไปทีละส่วนๆ ดูจะเห็นความจริงเพิ่มขึ้นใบหน้าที่ว่างามนั้น มีไฝฝ้าหลายจุดทีเดียว รูขุมขนก็ใหญ่เล็กไม่เท่ากัน ตาก็ชั้นเดียวแถมยังเขนิดๆ อีกข้างหนึ่งด้วย โหนกแก้มก็สูงไปหน่อยเหมือนสาวที่ราบสูง แถมจมูกบานไปนิด ดั้งก็หักไปหน่อยยิ่งดูตอนไม่แต่งหน้ายิ่งไม่สวยใหญ่ ซีดเซียวยังกับผี...ฯลฯยิ่งดูละเอียดก็ยิ่งเห็นว่าที่เราว่างามๆ นั้นมันกลับไม่งามเสียแล้วเห็นหรือยังครับว่าการมองแบบแยกแยะส่วนประกอบช่วยให้เราเข้าใจความเป็นจริงอย่างไรถ้าจะถามว่า แล้วสอนให้มองทำไมแบบนี้ เดี๋ยวสามีก็จะหาเรื่องเลิกกับภรรยากันหมดสิ เพราะแรกๆ เห็นเธอสวยงาม พอมองเห็นความไม่งามแล้ว เดี๋ยวก็จะมีปัญหาถ้าหยุดอยู่แค่นี้ มีปัญหาแน่ แต่ท่านมิได้สอนให้หยุดแค่นี้ ท่านสอนให้มองเลยต่อไปอีกว่า เมื่อเห็นว่าสังขารร่างกายมันไม่งดงามอะไร แล้วก็ไม่ควร "ยึดติด" ที่ความงามหรือไม่งามของร่างกาย แต่ให้แปรเรื่องงาม ไม่งามไปเป็นเรื่องของจิตใจ เป็นเรื่องของคุณธรรมมากกว่าพูดให้เข้าใจง่ายก็คือ อย่าถือรูปร่างเป็นเรื่องสำคัญ ขอให้ถือจิตใจสำคัญกว่า เพราะความสวยงามทางร่างกายเป็นของไม่จีรัง (หรือพูดให้ถูกร่างกายมันไม่งามเลยแม้แต่น้อย) ถ้าเรารักใครเพราะความงาม เมื่อความงามมันเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา เราก็จะหมดรักได้สามีไปมีบ้านเล็กบ้านน้อย ส่วนหนึ่งก็เพราะถือความงามเป็นเรื่องสำคัญ แรกๆ ก็ไม่ไปไหน เพราะภรรยายังดูได้อยู่ พอแก่ตัวไปรู้สึกอึดอัดที่อยู่กับ "พะโล้" จึงต้องไปหาใหม่ที่สวยงามกว่า "เก่าๆ มันเป็นสนิม ใหม่ๆ หน้าตาจุ๋มจิ๋ม" อะไรทำนองนั้นแต่ถ้าเข้าใจสภาวะจริงแท้ของสังขาร ว่าแท้ที่จริงมันไม่งามอะไร เราแต่งงานกันอยู่ด้วยกันไม่ใช่เพราะความงาม ไม่งามของร่างกาย แต่อยู่เพราะความงามทางใจมากกว่า เธอเป็นภรรยาที่ดีของเราเป็นแม่ที่ดีของลูก ยิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าไร ยิ่งเห็นความดีความงามของจิตใจเธอยิ่งขึ้นทุกวันเห็นหรือยังครับว่า เราสามารถนำวิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบมาประยุกต์ใช้ได้ในการดำเนินชีวิตแบบชาวบ้านถ้าให้ลึกไปกว่านั้น การคิดการมองแบบแยกแยะองค์ประกอบนี้ รวมไปถึงการแยกแยะคุณค่าอยู่ด้วย และเราสามารถนำมาสอนให้เด็กๆ มองได้ด้วย เช่น เวลาเราพาลูกหลานไปซื้อของเล่น ก็หัดให้ลูกหลานเราเลือกของที่จะซื้อที่ "คุณค่า" ของมัน ไม่ใช่ที่ "ความสวยงาม""รถคันนี้สวยก็จริงลูก แต่ไม่ทน ใช้ไม่นานก็พัง เอาคันนี้ดีกว่า ราคาเท่ากันแต่ทนกว่า" อะไรทำนองนี้เด็กๆ ที่ได้รับการปลูกฝังวิธีคิด วิธีมองแบบนี้ จะเติบโตมาด้วยความรู้จักดำเนินชีวิตที่ถูกที่ควร โตมามีปัญญาซื้อรถใช้เองก็จะเลือกซื้อรถเพื่อ "ขับขี่" มิใช่ซื้อรถมาเพื่ออวดโก้อวดรวย ดังที่เห็นกันอยู่เป็นจำนวนมากในสังคมไทยสมัยนี้

วันศุกร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ข่าวเงียบเหงา

www.matichon.co.th
วันที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11120 มติชนรายวัน
- สมัครนายกเมืองอำนาจเงียบเหงาอำนาจเจริญ - นายสมภพ สังข์สุวรรณ ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง (ผอ.กต.) ประจำเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ กล่าวว่า จากกรณีศาลอุทธรณ์ ภาค 3 สั่งให้เลือกตั้งใหม่ นายเทศมนตรี เทศบาลเมืองอำนาจเจริญใหม่ ในวันที่ 28 กันยายน หลังเปิดรับสมัคร เบื้องต้นมีผู้สมัคร 1 ราย คือ หมายเลข 1 นายวิชัย บุญเสริฐ แต่เชื่อว่าจะมีผู้สมัครเพิ่มอย่างแน่นอน