วันเสาร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2551
ประโยชน์ของการตรงต่อเวลา จาก ข่าวสด
คอลัมน์ สดจากจิตวิทยา
นฤภัค ฤธาทิพย์/กรมสุขภาพจิต
การพัฒนาตนเองให้เป็นคนตรงต่อเวลานั้นเราสามารถทำได้โดยการที่เรารู้จักแบ่ง เวลาให้เหมาะสมกับกิจกรรมต่างๆ เป็นการจัดระเบียบให้กับชีวิต สำหรับในการทำงานหรือการเรียนก็คือการพยายามทำงานหรือส่งงานให้เสร็จก่อน เวลาเพื่อมีเวลาตรวจทานและส่งงานให้ตรงตามกำหนด รวมถึงหากนัดหมายกับผู้ใดควรที่จะเผื่อเวลาในการเดินทางเพื่อไปให้ถึงจุด หมายก่อนเวลาสักเล็กน้อย เพื่อจะได้ไม่ต้องเร่งรีบรวมถึงมีเวลาเตรียมความพร้อมให้กับตนเอง
การที่เราเป็นคนตรงต่อเวลานั้น จะช่วยให้เราเป็นคนที่ขยันขันแข็ง เอาการเอางาน มีความกระตือรือร้น รักที่จะเรียนรู้อยู่เสมอ ช่วยให้เราไม่เฉื่อยชา ทันสมัย มีชีวิตชีวา เป็นคนมีวินัย สามารถจัดการกับงานหรือสิ่งที่ผ่านเข้ามาได้อย่างเป็นระเบียบ จึงทำให้เป็นคนที่ประสบความสำเร็จ มีความก้าวหน้าในชีวิต รวมถึงเป็นคนน่าเชื่อถือ และผู้อื่นให้ความไว้วางใจแก่เรา
สิ่งเหล่านี้เป็นประโยชน์ส่วนหนึ่งของการตรงต่อเวลา ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือจะช่วยให้เราสามารถจัดการกับชีวิตของเราได้อย่างราบ รื่นและมีความสุข
วันศุกร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2551
สารเมลามีน จาก มติชน
วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2551
หึ่งชิงนายกเล็กอำนาจฯแจกหัวละพัน
หึ่งชิงนายกเล็กอำนาจฯแจกหัวละพัน | ||
ข่าววันที่ 24 กันยายน 2551 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ | ||
|
วันพุธที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2551
พ.ร.บ.ผลประโยชน์ทับซ้อน จากข่าวสด
วันจันทร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2551
วาทะ ท่าน ปลัดมหาดไทย จาก มติชน ขออนุญาตเผยแพร่และเก็บไว้
"...เราเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราเป็นข้าราชการของประชาชน เป็นข้าราชการของบ้านเมือง เราไม่ใช่ข้าราชการของรัฐบาล รัฐบาลไม่ใช่เจ้าของเรา"
ผมอยากให้ข้าราชการวางตัวกลางๆ ไว้ สนองงานรัฐบาลเต็มความสามารถเท่าที่อยู่ในกรอบหลักเกณฑ์ ระเบียบกฎหมาย หรือทำเกินกว่าที่เขาสั่ง ขยันกว่าที่สั่งก็ได้ แต่ต้องไม่ผิดระเบียบกฎเกณฑ์ เพราะบางทีหิริโอตตัปปะ หรือศีลธรรมจรรยา ที่เราได้รับมาจากครอบครัว หรือสถาบันการศึกษา แม้ว่าเราเป็นปุถุชน ยังมีความอยาก และยังมีสิ่งแวดล้อมกดดัน ซึ่งผมเข้าใจ แต่เราต้องทำในสิ่งที่ไม่ควรทำให้น้อยที่สุด ถ้ามีโอกาสต้องเลิก ต้องเข้มแข็ง
แต่เวลาที่เราตัดสินใจมันมักจะมี 2 เรื่องที่เกี่ยวข้อง คือผลประโยชน์ของบ้านเมือง ของประเทศชาติ กับความพึงพอใจของประชาชน ถ้า 2 อันนี้ไปด้วยกันได้ก็ดี แต่ถ้าต้องเลือกข้าราช การจะต้องเลือกประเทศชาติก่อน แต่นักการเมืองมักจะเลือกความพึงพอใจของประชาชนก่อน เพราะเป็นคะแนนเสียงในการเลือกตั้ง
คุณธรรมที่คนส่วนมากขาด จาก ข่าวสด
วันศุกร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2551
กองทุนคนพอเพียง รวยกว่าประชานิยม จาก ไทยรัฐ
กองทุนคนพอเพียง รวยกว่าประชานิยม [19 ก.ย. 51 - 16:10]
นัก วิชาการในห้องแอร์ นักการเมืองประชานิยมเชื่อว่า การพัฒนาที่สามารถพลิกฟื้นความยากจนได้... ต้องให้คนจนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายที่สุด
นโยบายที่ว่า...หว่านเงินกู้ให้กับชาวบ้านผ่านทางกองทุนต่างๆ และธนาคารของรัฐไปยังชนบท ด้วยเชื่อว่า เงินคือพระเจ้า...ชาวบ้านมีเงิน ชีวิตก็จะมีความสุขขึ้นมาได้เอง
แต่สิ่งที่นักวิชาการระดับด็อกเตอร์มอง นักเลือกตั้งประชานิยมเชื่อ... ชนชั้นรากหญ้า ผู้ใช้ชีวิตยืนตากแดดกลางทุ่ง นอนกางมุ้งใต้หลังคาสังกะสี ใน อ.พิมาย จ.นครราชสีมา กลับเห็นตรงข้าม
“เอากองทุนมาให้ เอาโน้นเอานี่มาให้ แต่ทำไปทำมาเรากลับมีหนี้มากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งอยากได้เงินมากเท่าไร พยายามขยันทำมาหาเงินเท่าไร หนี้ยิ่งกลับเพิ่มมากเท่านั้น
เราลงทุนทำนามากขึ้น อยากได้เงินไปซื้อโน้นซื้อนี่ แต่สุดท้ายเราแทบไม่ได้อะไรเลย คนที่ได้กลับเป็นพ่อค้าขายปุ๋ย ขายเคมียาฆ่าแมลงในตลาดโน้น”
นายอนุพงษ์ พุฒกลาง ประธาน กองทุนสวัสดิการชุมชนคนพอเพียง ต.กระเบื้องใหญ่ ต.สัมฤทธิ์ อ.พิมาย เล่าถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา
และไม่น่าเชื่อ มุมมองของชนชั้นรากหญ้า ช่างสอดคล้องต้องกับรายงานการศึกษาของนักวิจัย มหาวิทยาลัยเอ็มไอที สหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
พบว่า...เงินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองของรัฐบาลไทยที่ทำลงไปนั้น ประชาชนในหมู่บ้าน ไม่ได้นำเงินไปลงทุนในภาคเกษตร หรือธุรกิจต่อเนื่องเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายของโครงการแต่อย่างใด
ชาวบ้านกู้เงินไปใช้ในการบริโภคเป็นส่วนใหญ่ โดยรายจ่ายหลักคือการซ่อมแซมบ้าน ซ่อมแซมรถ ซื้อน้ำมันรถ นม เหล้า บุหรี่
และตั้งแต่เงินกู้จากกองทุนเข้าไปในหมู่บ้าน กลับทำให้การกู้เงินนอกระบบ กู้เงินจากสถาบันการเงินขยายตัวเพิ่มตามไปด้วย...กู้เอาไปใช้หนี้คืนกองทุน หมู่บ้านฯ
งานวิจัยชิ้นนี้ ยังพบอีกว่า หนี้เสียของกองทุนฯ ซึ่งวัดจากการผิดนัดชำระหนี้เกิน 3 เดือน มีเพิ่มสูงถึง 19%
ต่างจากที่สถาบันการเงินของรัฐ รายงานว่ามีหนี้เสียแค่ 4%
กองทุนที่รัฐหยิบยื่นก่อให้เกิดหนี้...ไม่เหมือนการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
“เราอยู่แบบพอเพียงถึงจะไม่มีเงิน แต่เราก็มีกิน ไม่อดตาย และไม่มีหนี้ ที่สำคัญทำให้ชาวบ้านสามารถยืนได้โดยลำแข้งของเราเอง โดยไม่ต้องหวังพึ่งพาคนอื่น ชีวิตอย่างนี้ยั่งยืนกว่า มั่นคงกว่า...หวังพึ่งพาแต่ความช่วยเหลือจากรัฐบาล”
เป็นความรู้สึกจากใจ ประธานกองทุนสวัสดิการชุมชนคนพอเพียงฯ ที่ได้สัมผัสการหวังพึ่งความช่วยเหลือจากภาครัฐมาไม่น้อยว่า ผลสุดท้ายมักจะลงเอยเช่นไร
ชาวบ้านที่นี่เชื่อว่า การพึ่งพาตัวเองดีกว่า มีความสุขกว่า หลังจากช่วยกันจัดตั้งกองทุนสวัสดิการชุมชนพอเพียง...โดยการชักชวนของศูนย์ เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
ให้สมาชิกฝากเงินกับกองทุนวันละ 1 บาท
ฝากไว้ ไม่ใช่เป็นกองทุนให้ชาวบ้านด้วยกันกู้ยืม...แต่ฝากไว้เป็นกองทุน ที่แบ่งเงินออกเป็น 3 กอง
กองแรก 50% ของเงินฝาก เก็บไว้เป็นกองทุนสวัสดิการสำหรับช่วยเหลือชาวบ้านด้วยกันเอง ในยามเจ็บไข้ได้ป่วยต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล คลอดบุตร ยามแก่เฒ่า และเสียชีวิต
ฝากวันละ 1 บาท ครบ 6 เดือน ได้สิทธิ...ป่วยได้ค่ารักษาตัวที่โรงพยาบาล คืนละ 100 บาท ไม่เกิน 10 คืน
คลอดบุตรได้ 1,000 บาท ต่อครั้ง ป่วยจากการคลอดบุตร ได้ค่ารักษาพยาบาล 100 บาทต่อคืน ไม่เกิน 5 คืน
บุตรที่คลอด ได้เงินค่ารับขวัญ 500 บาท และต้องสมัครเป็นสมาชิกกองทุน ฝากวันละ 1 บาท ตั้งแต่แรกเกิด
เสียชีวิตได้เงินช่วยเหลือ 3,000-30,000 บาท ขึ้นอยู่กับระยะการออมนานแค่ไหน
เรียกว่า ไม่ต่างกับการประกันสุขภาพและประกันชีวิตของภาคเอกชนเท่าไร
กองที่สอง 30% ของเงินฝากเก็บไว้เป็นกองทุนสำหรับลงทุน ในวิสาหกิจชุมชนตามที่ชาวบ้านเรียกร้องต้องการ
ที่เหลืออีก 20% กันไว้เป็นทุนในการติดต่อเชื่อมโยงกับชุมนุมเครือข่ายอื่นๆ ในต่างจังหวัด ไว้คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันยามเดือดร้อนขัดสน
“ก่อนที่คิดจะตั้งกองทุนนี้ขึ้นมา ชาวบ้านก็ถกเถียงกันอยู่นานพอสมควร เพราะชาวบ้านไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไรว่าจะเป็นจริง ทำได้จริง
ฝากเงินไปแล้วจะไม่ถูกโกงเหมือนที่ผ่านมาหรือเปล่า เพราะที่โรงพยาบาลพิมาย เคยตั้งกองทุนเหมือนกัน แต่เป็นกองทุนฌาปนกิจ ที่ชาวบ้านได้จ่ายเงินไปแล้วคนละหลายพันบาท ตั้งได้แค่ 2 ปีก็ล้ม ชาวบ้านถูกโกงถูกเชิดเงิน
แต่จากการได้พูดคุยกัน ถึงความเดือดร้อนของพวกเราด้วยกันเองที่มีปัญหาเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย ถึงทางรัฐบาลจะมีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรคให้ก็ตาม แต่ชาวบ้านรู้สึกว่าไม่ได้รับการรักษาพยาบาลที่ดีพอ เลยเห็นด้วยที่เราจะมีกองทุนแบบนี้ขึ้นมา”
หลังจากรวบรวมสมาชิกเริ่มแรกได้ครบ 100 คน กองทุนจึงได้ฤกษ์ก่อตั้งอย่างเป็นทางการเมื่อ 19 ต.ค. 2549 และหลังจากชาวบ้านได้เห็นผลงานเป็นประจักษ์ว่า เจ็บป่วย คลอดลูกได้เงินช่วยเหลือจริง จำนวนสมาชิกก็เลยเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนกองทุนเงินฝากวันละ 1 บาท พุ่งเพิ่มขึ้นมาเป็น 2.4 แสนบาท
ก่อตั้งได้ 1 ปี วิสาหกิจชุมชนอีกแห่ง ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมา...ธนาคารขยะ
นายประกิต ร่มรื่น ผู้จัดการธนาคารขยะ เล่าถึงสิ่งที่ชาวบ้านได้จากการรู้จักพึ่งพาตัวเองแบบพอเพียงว่า ตอนนั้นชุมชนของเรามีปัญหาขยะทิ้งเกลื่อนกลาด เต็มไปหมด โดยเฉพาะที่โรงเรียน ประกอบกับพ่อค้าของเก่ามารับซื้อขยะแบบกดราคา คณะกรรมการกองทุนจึงคิดจัดตั้งธนาคารขยะขึ้นมา รับซื้อขยะจากชาวบ้านในราคายุติธรรม
อย่างเมื่อก่อนพ่อค้ารับซื้อขวดพลาสติกแบบเหมา ให้ราคา กก.ละ 3 บาท แต่ธนาคารขยะรับซื้อ สอนให้ชาวบ้านแยกขยะ ขวดพลาสติกใส ให้ราคา กก.ละ 16 บาท
“กิจการธนาคารขยะของเรา ไม่เพียงช่วยให้ชาวบ้านมีรายได้มากขึ้น ยังทำให้หมู่บ้านเราสะอาดมากขึ้น หาขยะแทบไม่ได้เพราะชาวบ้านแย่งกันเก็บมา ขาย เดือนๆหนึ่งมีรายได้จากขายขยะ 70-80 บาท ต่อครอบครัวเลยทีเดียว”
จากนั้นไม่เท่าไร เมื่อเงินกองทุนงอกเงยเพิ่มขึ้นมา วิสาหกิจชุมชนที่ชาวบ้านต้องการอีกอย่างก็เกิดขึ้นตามมาอีก
เอาเงินฝากวันละ 1 บาท...มาลงทุนในกิจการโรงปุ๋ย
ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ไว้ขายสมาชิกในราคาพิเศษ และขายส่งออกในราคาที่บวกกำไรแบบมิตรภาพ
“จะปลูกข้าวได้กำไรขาดทุนก็อยู่ที่ปุ๋ยนี่แหละ ขนาดตอนที่ข้าวมีราคา ใช้ปุ๋ยเคมีขายข้าวแล้วได้ทุนคืน ไม่ขาดทุนก็เก่งแล้ว แต่พอมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์ที่เราทำเอง ตอนนี้มีกำไรเหลือ ไร่ละ 600-700 บาทแล้ว”
ตอนนี้ได้ขยายต่อไปทำกิจการธนาคารต้นไม้ เพาะพันธุ์ไว้ปลูกเองและขาย ตามด้วยลงทุนเปิดร้านค้าของชุมชน เอาสินค้าที่ชาวบ้านผลิตได้มาขายกันเอง งานขายสินค้าอบายมุข เหล้าบุหรี่
ชั่วเวลาแค่ไม่ถึง 2 ปี การรวมตัวพึ่งพาตัวเอง ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ส่งผลเห็นเป็นประจักษ์ นายอนุพงษ์ บอกว่า ทุกวันนี้คนในหมู่บ้านถึงจะไม่รวยขึ้น แต่หนี้ก็ไม่เพิ่ม และดูจะมีความสุขมากขึ้นกันทุกครอบครัว
เห็นได้จากชาวบ้านกล้าพบปะพูดคุยกันมากขึ้น...เพราะวันนี้ตัวเอง มีหนทางออกที่ยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้
ผิดกับก่อนหน้านี้ ไม่ค่อยกล้าสู้หน้าพูดคุยกัน...ด้วยเป็นทุกข์ อายเรื่องหนี้ เลยพยายามหนีหน้าห่างกัน..
วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551
การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญรอบที่ 2 มีสุภาพสตรีสนใจ ลงสมัครชิงตำแหน่งแข่งขัน กับสองอดีตนายกเทศมนตรี (ข่าวเสียง)
หน้าหลัก ศูนย์ข่าวภูมิภาค ข่าวท้องถิ่น |
การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญรอบที่ 2 มีสุภาพสตรีสนใจ ลงสมัครชิงตำแหน่งแข่งขัน กับสองอดีตนายกเทศมนตรี (ข่าวเสียง) (25/8/2008) การเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญรอบที่ 2 มีสุภาพสตรีสนใจ ลงสมัครชิงตำแหน่งแข่งขัน กับสองอดีตนายกเทศมนตรี (ข่าวเสียง) จากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดให้มีการเลือกตั้งตาม พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 เทศบาลเมืองอำนาจเจริญ มีนางสาววิภาดา ต้นทอง เป็นสุภาพสตรีคนแรกที่ให้ความสนใจลงสมัครรับการเลือกตั้งในตำแหน่งนายก เทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญ ซึ่งจะมีการจัดให้มีการเลือกตั้งในวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2551 นี้ นายสุธรรม ยืนสุข ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ เปิดเผยว่าคณะกรรมการการเลือกประจำจังหวัดอำนาจเจริญประกาศให้มีการเลือกตั้ง และหลังจากที่เปิดรับสมัครระหว่างวันที่ 18-22 สิงหาคม 2551 ที่ผ่านมามีนางสาววิภาดา ต้นทอง เป็นสุภาพสตรีคนแรกที่ให้ความสนใจลงสมัครรับการเลือกตั้งในตำแหน่งนายก เทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญ ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์การเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น ของเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ที่เปิดโอกาสให้ได้ผู้หญิงมีร่วมในการเมืองการปกครองในระบบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยครั้งนี้มีผู้สนใจสมัคร จำนวน 4 คนได้แก่ นายวิชัย บุญเสริฐ ผู้สมัครหมายเลข 1, นางสาววิภาดา ต้นทอง ผู้สมัครหมายเลข 2 , นายศักดิ์ชัย ตั้งตระกูลวงศ์ ผู้สมัครหมายเลข 3 และนายสมพรชัย คงไชย ผู้สมัครหมายเลข 4 ซึ่งอดีตนายกเทศมนตรีฯจำนวน 2 คน ลงสมัครชิงตำแหน่งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญอีกครั้ง กับผู้สมัครอิสระอีก1คน ..........เสียง.......... ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้งเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ กล่าวเสริมอีกว่า เทศบาลเมืองอำนาจเจริญ มีประชากรที่มีสิทธิเลือกตั้ง 17,187 คน ตั้งเป้าหมายผู้ออกมาใช้สิทธิ ประมาณ ร้อยละ 70 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนในเทศบาลเมืองอำนาจเจริญทั้ง 30 ชุมชน ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งนายกเทศมนตรีเมืองอำนาจเจริญในวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายน 2551 เป็นวันเลือกตั้ง ตั้งแต่เวลา 08.00 น. -15.00 น. อารีตา /พิมพ์ อังกฤษ / ข่าว / ตรวจทานวิมล / บก.ข่าว25 ส.ค. 2551 |
ข้อมูลจาก :: อังกฤษ ทองสัมฤทธิ์ สวท. อำนาจเจริญ วันที่ :: 25/8/2551 |
วันพุธที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2551
ส.ท.อำนาจฯโวยคดีร้องนายกไม่คืบ จาก มติชน
ส.ท.อำนาจฯโวยคดีร้องนายกไม่คืบ
นายศักดิ์ดา จันเทวา สมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) เมืองอำนาจเจริญ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาได้นำหลักฐาน พร้อมยื่นหนังสือต่อจังหวัด เพื่อร้องเรียนนายวิชัย บุญเสริฐ อดีตนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ว่ามีพฤติกรรมเข้าข่ายกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.เทศบาล 2496 แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ.2546 เนื่องจากมีส่วนได้ส่วนเสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยอ้อม ในการทำสัญญาของเทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ที่ทำกับห้างหุ้นส่วนวัชรพงษ์กลการ จำกัด ซึ่งมีบุตรชายของนายวิชัยเป็นหุ้นส่วน รวมทั้งพบการกระทำผิดซ้ำซากในลักษณะข้อหาเดียวกันหลายครั้ง
"หลังร้องเรียนเวลาล่วงเลยมากว่า 100 วัน แต่ไม่มีความคืบหน้า อย่างไรก็ตาม ได้ส่งเอกสารร้องเรียนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง และดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดด้วย เพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติต่อไป" (กรอบบ่าย)
ผวจ.ตั้งกก.สอบคำร้อง อดีตนายกเมืองอำนาจฯ จาก มติชน
ผวจ.ตั้งกก.สอบคำร้อง อดีตนายกเมืองอำนาจฯ
นายวิทยา ใจแก้ว ท้องถิ่นจังหวัดอำนาจเจริญ กล่าวว่า จากกรณีสมาชิกสภาเทศบาล (ส.ท.) เมืองอำนาจเจริญ 4 คน นำหลักฐานเข้ายื่นหนังสือต่อนายปริญญา ปานทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ร้องเรียนนายวิชัย บุญเสริฐ อดีตนายกเทศมนตรี เทศบาลเมืองอำนาจเจริญ ว่ากระทำความผิดตาม พ.ร.บ.เทศบาล 2496 แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ.2546 เนื่องจากมีส่วนได้ส่วนเสียในการทำสัญญาของเทศบาลกับห้างหุ้นส่วนวัชรพงษ์กลการ จำกัด ที่บุตรชายนายวิชัยเป็นหุ้นส่วน ล่าสุดตนได้รับเรื่องจากนายปริญญาแล้ว พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง ทำหนังสือขอเอกสารหลักฐานประกอบการสอบสวนหาข้อเท็จจริงของเทศบาลเพื่อนำมาตรวจสอบ จากนั้นจะเรียกผู้ร้องและผู้ถูกร้องเรียนมาสอบปากคำต่อไป
"การหาเสียงนายกเทศมนตรี หลังนายวิชัยได้ใบเหลืองยังเป็นไปตามปกติ เพราะอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน หากผลสรุปว่านายวิชัยผิด ก็ต้องถูกตัดสิทธิเพราะขาดคุณสมบัติ แล้วจัดการเลือกตั้งใหม่" (กรอบบ่าย)
วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2551
อย่าใช้วิธีเดียว/พูดให้เป็น-รู้จักพูด จาก ข่าวสด
ธรรมะสู้ชีวิต
เสฐียรพงษ์ วรรณปก
อย่าใช้วิธีเดียว
คุยกับเพื่อนที่เพิ่งรู้จักกันใหม่คนหนึ่ง เพื่อนเป็นนักธุรกิจขนาดย่อมที่ประสบความสำเร็จพอสมควรคนหนึ่ง ผมถามว่า มีเทคนิควิธีอะไรที่ทำให้ทำงานประสบความสำเร็จ เพื่อนบอกว่าไม่มีอะไรมาก ยึดถือคติเพียง 2 ข้อ คือ อดทน และเปลี่ยนแปลง
การทำงานอะไรก็ตามถ้าขาดคุณสมบัติ คือความอดทนเสียแล้ว ยากจะประสบความสำเร็จ เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ความอดทนที่ใช้ก็ไม่ต้องมาก แต่ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ และยิ่งต้องใช้เวลายาวนาน ก็ต้องอดทนเพิ่มขึ้นมากมายหลายร้อยเท่า
ฟังเพื่อนพูดแล้วทำให้นึกถึงอะไรต่ออะไรอีกหลายอย่าง นึกถึงสัตว์ตัวเล็กๆ 2 ตัวคือ แมงมุม กับ กิ้งก่า
เคยเห็นแมงมุมมันถักใยไหมครับ สมัยผมเป็นเด็ก ชอบเฝ้าดูแมงมุมมันถักใย มันจะไต่ขึ้นไปจากมุมฝาด้านนี้ไปอีกด้าน มันจะตกลงมา แล้วมันก็จะพยายามไต่ขึ้นไปใหม่ ตกลงมา-ไต่ขึ้นไป ตกลงมา-ไต่ขึ้นไป เป็นอยู่อย่างนี้แล้วๆ เล่าๆ มันก็ไม่เลิกรา เพียรถักใยโดยวิธีนี้เป็นวันๆ ในที่สุดมันก็ได้ใยเป็นวงกลม มีลวดลายสวยงาม
การกระทำของแมงมุมบอกให้เรารู้ว่า นี่แหละคือสิ่งที่พระเรียกว่า วิริยะ หรือ วิริยารัมภะ (ความเพียร หรือ การปรารภความเพียร) "เพียร" ในความหมายของท่าน มิได้หมายความว่าต้องทำอย่างหักโหม ทำเต็มที่ ไม่หลับไม่นอนอะไรอย่างนั้น แต่หมายถึงการค่อยๆ ทำสม่ำเสมอ ทำเป็นกิจวัตร
เพราะฉะนั้น เวลาพระพุทธเจ้าตรัสอธิบายความเพียรพระองค์จะตรัสคำ "ไวพจน์" (Synonym) ไว้กำกับว่าสาคัจจกิริยา การกระทำต่อเนื่อง, ทำสม่ำเสมอไม่ขาดตอน
เด็กในกรุงอาจไม่เคยเห็นกิ้งก่า กิ้งก่าเป็นสัตว์ที่มีนิสัยประหลาดคือ วิ่งเร็ว และหยุดอยู่กับที่นาน เวลามันเห็นคนมันจะวิ่งจู๊ดหนีไปอย่างรวดเร็วมาก เสร็จแล้วมันจะเกาะกิ่งไม้นอนหลับตาปุ๋ยอยู่กับที่เป็นเวลานาน พอมีอะไรมาทำให้ตกใจทีก็วิ่งจู๊ดไปอีก แล้วก็นอนสงบนิ่งหลับตาเพลิน เป็นอยู่อย่างนี้
คนทำงานเหมือนกิ้งก่าก็คือ คนทำอะไรอย่างหักโหม ทำเอาๆ สักพักแล้วก็วางมือ นึกขึ้นมาได้ก็จับมาทำใหม่ ไม่ได้ทำต่อเนื่องเป็นกิจวัตรสม่ำเสมอ กิริยาอาการอย่างกิ้งก่านี้ไม่ควรนำไปใช้เป็นอย่างยิ่ง เพราะจะไม่ช่วยให้ทำอะไรได้ประสบความสำเร็จ
คติข้อที่ 2 ที่เพื่อนยึดถือคือ รู้จักเปลี่ยนแปลง ทำให้นึกถึงนิทานจีนขึ้นมาเรื่องหนึ่งสั้นๆ แต่มีคติสอนใจดี
มีชาวนาคนหนึ่งไถนาเพลินอยู่ มีกระต่ายตัวหนึ่งวิ่งมาจากไหนไม่ทราบ ไปชนตอไม้ข้างๆ ดิ้นกระแด่วๆ ตายทันที
ชาวนาคนนี้ดีใจ ที่อยู่ๆ มีลาภลอยมาเข้าปาก เอากระต่ายกลับบ้านไปให้ภรรยาทำอาหารกินได้ตั้งหลายมื้อ
ชาวนาแกมานึกว่า การจะได้กระต่ายกินนี่ไม่ยากเลย ไม่ต้องไปดักไปยิงเหมือนคนอื่น เพียงแต่นั่งรอมันอยู่ตรงนี้แหละ เดี๋ยวก็จะมีกระต่ายตัวที่สอง ที่สาม วิ่งมาชนตอไม้ตายให้ได้กินอีก
คิดดังนี้แล้ว แกก็มานั่งเฝ้านอนเฝ้าอยู่ตรงนั้นทุกวัน กาลเวลาผ่านไปหลายวัน ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น แกเลยเลิกมานั่งเฝ้าอีกต่อไป
ไม่มีกระต่ายตัวที่สองวิ่งมาชนตอไม้อีกเลย!
เพราะฉะนั้น ถ้าหวังความก้าวหน้า และความสำเร็จยิ่งๆ ขึ้นไปในหน้าที่การงานหรืออาชีพที่ทำอยู่ ก็ต้องรู้จักเปลี่ยนแปลง แก้ไขวิธีทำงานให้ทันสมัย และมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ
พูดให้เป็น-รู้จักพูด
ค่ำพูดที่คนใช้สื่อสารกันอยู่ในชีวิตประจำวันนั้น มีอยู่ 2 ประเภท คือ คำพูดดี รู้จักพูด เรียกว่า สุภาษิต กับคำพูดไม่ดี ไม่รู้จักพูด เรียกว่า ทุพภาษิต
คำพูดที่เรียกว่าสุภาษิตนั้น ต้องครบองค์ประกอบทั้ง 5 ประการคือ
-พูดถูกกาล, -พูดคำจริง, -พูดสุภาพ,
-พูดมีประโยชน์, -พูดด้วยเมตตา
จะพูดดีขนาดไหน ถ้าพูดไม่ถูกเวลา พูดคำไม่จริง ไม่สุภาพ ไม่มีประโยชน์ และพูดด้วยความมุ่งร้ายหมายขวัญ ก็ไม่นับว่า "สุภาษิต"
คนพูดดี คนรู้จักพูด ย่อมมีภาษีกว่าคนสักแต่ว่ามีปากแล้วก็พูดๆ สุนทรภู่มหากวีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กล่าวไว้ให้คิดว่า "เป็นมนุษย์สุดนิยมที่ลมปาก จะได้ยากโหยหิวเพราะชิวหา แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาจงพิเคราะห์ให้เหมาะความ"
มีนิทานสอนใจเกี่ยวกับการใช้คำพูดเรื่องหนึ่ง ลูกเศรษฐีสี่คนเห็นนายพรานบรรทุกเนื้อผ่านมา อยากได้เนื้อกินบ้าง จึงเข้าไปพูดกับนายพรานทีละคน
คนแรกตะโกนว่า "เฮ้ย นายพราน บรรทุกเนื้อมาเต็มเกวียนเชียวหรือวะ ขอข้ากินบ้างสิเว้ย"
นายพรานฟังคำพูดอันระคายหูก็นึกฉุนในใจ หน็อยแน่จะขอเขากินทั้งที พูดไม่เข้ารูหู จึงตอบไปว่า "คำพูดของท่านหยาบเหมือนพังผืด ไม่สบายรูหูเลยนะ" ว่าแล้วก็เฉือนพังผืดยื่นให้สมกับคำพูดหยาบๆ ของเขา
คนที่สองกล่าวว่า "พี่ชายครับ ขอเนื้อผมบ้างเถอะครับ"
นายพรานกล่าวว่า "พี่น้องนั้นเปรียบเสมือนแขนขา ท่านเรียกเราว่า พี่ชาย ท่านจงเอาเนื้อขาไปเถิด" ว่าแล้วก็หยิบขาเนื้อให้
คนที่สามพูดว่า "พ่อครับ ขอเนื้อผมบ้าง"
นายพรานพูดว่า "เวลาได้ยินใครเรียกพ่อ ทำให้หัวใจของผู้ถูกเรียกหวั่นไหว คำพูดของท่านดุจดังหัวใจ จงเอาเนื้อหัวใจไปเถิด" ว่าแล้วก็เฉือนเนื้อหัวใจให้เขาไป
คนสุดท้ายกล่าวว่า "สหาย ขอเนื้อเราบ้าง"
นายพรานกล่าวว่า "หมู่บ้านใดไม่มีเพื่อน หมู่บ้านนั้นเป็นเสมือนป่า คนที่มีเพื่อนนับว่ามีทุกอย่าง เพราะฉะนั้นเราจะมอบเนื้อทั้งหมดแก่ท่าน" ว่าแล้วก็ยกเนื้อให้ทั้งเกวียนเลย และทั้งสองคนก็ได้กลายเป็นเพื่อนรักกันต่อมา
พูดดี พูดเป็น หรือรู้จักพูด ก็สำเร็จประโยชน์อย่างนี้แหละครับ ความจริงคนเราเกิดมาธรรมชาติก็ให้ปากมาทุกคน แต่ก็ใช้ปากไม่เหมือนกัน บางคนสักแต่ว่ามีปากให้พูดก็พูดๆๆ โดยไม่คำนึงว่าคำพูดของตนจะเป็นที่ระคายเคือง หรือจะก่อความเสียหายแก่คนอื่นหรือไม่
ที่ยกมานี้เพื่อแสดงว่า ไม่ใช่สักแต่ว่ามีปากแล้วก็พูดๆ ออกไป โดยไม่คำนึงว่าวาจาที่พูดออกไปนั้นจะเป็นโทษเป็นภัยแก่ใครหรือไม่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ขณะที่ชาวโลกเขาซัดกันด้วย "หอกคือปาก" ใครสงบปากสงบคำอยู่ได้ นับว่าอยู่ใกล้พระนิพพานแล้ว"
นั่นก็คือให้คำนึงก่อนว่า ถ้าพูดอะไรออกไปแล้ว จะเป็นผลร้ายแก่ตัวเรา แก่คนอื่นหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็นิ่งไว้ดีกว่า "นิ่งเสียตำลึงทอง" อะไรทำนองนั้น แต่ถ้าเรื่องใดไม่พูดแล้วจะเสียหายแก่ตนเอง และแก่ส่วนรวมก็ให้พูดออกไป
คงจะบอกยากว่าเรื่องใดควรพูด ไม่ควรพูด ต้องพิจารณาเป็นเรื่องๆ ไป แม้เรื่องที่ควรพูดยังต้องดูว่า ควรพูดกับใครเมื่อใดอีกด้วย ปัญญาตัวเดียวครับที่จะตัดสินได้
วันอาทิตย์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2551
มีเรื่องของลิงด้วย จากมติชน
คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
วิธีที่ 4 เรียกว่า คิดแบบอริยสัจ หรือจะเรียกให้เข้าใจง่ายก็ว่า คิดแบบแก้ปัญหา
การแก้ปัญหาที่ถูกต้องเขามีแบบของเขาอยู่ ถ้าไม่แก้ตามแบบที่ว่านี้ยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่งเหมือนลิงแก้ปัญหาว่าอย่างนั้นเถอะ ทำไมเวลาแก้อะไรแล้วยุ่งจึงมักจะเปรียบกับลิงก็ไม่รู้ อาจเป็นเพราะลิงมันเป็นสัตว์ที่ชอบทำอะไรต่อมิอะไรเสมอไม่หยุดนิ่ง เนื่องจากสมองลิงมันก็แค่สมองลิง ไม่ได้ฉลาดเฉลียวอะไรนัก มันจึงมักทำอะไรสับสนวุ่นวายเสมอ มีนิทานมากมายเกี่ยวกับความยุ่งของลิง เช่น
ลิงทอดแห ว่ากันว่าลิงมันเห็นคนทอดแหได้ปลากินทุกวัน มันก็อยากจะทำตามบ้าง มันจึงไปเอาแหมาคลี่ๆ แล้วก็โยน หมายจะให้แหลงไปในน้ำ แต่เหวี่ยงอีท่าไหนไม่รู้ แหไปพันเอา มันก็ตกน้ำตูม ดิ้นตายในน้ำนั่นเอง เพราะแหวกแหออกมาไม่ได้
ลิงติดตัง ไอ้จ๋อแสนซนอีกนั่นแหละ เห็นคนเขาเอาตังไปวางไว้ สำหรับดักสัตว์ (ไม่ต้องการดักลิงดอกครับ) ด้วยความเป็นสัตว์มืออยู่ไม่สุข มันจึงเอามือข้างหนึ่งไปจับมือก็ติดตัง แกะไม่ออก เท้าซ้ายติดอีก เอาเท้าขวาถีบ เท้าขวาก็ติดอีก เหลือแต่ปาก จึงเอาปากกัด ปากเจ้ากรรมก็ติดอีก คราวนี้ก็ดิ้นใหญ่ กลิ้งหลุนๆ เหมือนลูกบอลถูกนักฟุตบอลดาวซัลโวเตะยังไงยังงั้น
ลิงล้วงมะพร้าว สมุนพระรามแสนซน เห็นคนเขาเฉาะมะพร้าวอ่อนขาย ด้วยความอยากจะกิน มันจึงแอบขโมยเวลาเจ้าของเขาเผลอ วิ่งขึ้นบนต้นไม้เอามือล้วงเนื้อมะพร้าวเต็มกำมือแล้วเอามือออกไม่ได้ มันตกใจเป็นการใหญ่ แปลกใจว่าเวลาเข้าทำไมเข้าได้ เวลาออกทำไมออกไม่ได้ มันจึงสลัดมือเร่าๆ สลัดยังไงก็ไม่หลุด จนกระทั้งพลัดตกต้นไม้ตายแหงแก๋
ลิง "หำแตก" ช่างไม้เขาเลื่อยไม้ยังไม่เสร็จ เอาลิ่มตอกไว้ กะว่าวันรุ่งขึ้นจะมาเลื่อยต่อ ไอ้จ๋อตัวหนึ่งไปดึงลิ่มสลักออกด้วยความซน ขณะที่นั่งดึงลิ่มสลักอยู่นั้น "หำ" (ลูกอัณฑะ) หย่อนลงตรงกลางพอดี พอลิ่มสลักหลุด ไม้สองซีกก็ดีดเข้าหากันหนีบ "หำ" แตกละเอียด แล้วมันจะเหลืออะไร
ลิงรดน้ำต้นไม้ เจ้านายสั่งให้พาบริวารลิงรดน้ำต้นไม้ขณะเจ้านายไม่อยู่หลายวัน เจ้าจ๋อมันสั่งให้บริวารถอนต้นไม้ทุกต้นมาดูว่า รากชุ่มน้ำหรือยังหลังจากรดน้ำแล้ว ชั่วเวลาไม่ถึงสองสัปดาห์ เจ้าของกลับมาดูสวน ลมแทบจับ เพราะต้นไม้เฉาตายเกลี้ยงสวน (เรื่องนี้เคยเล่าให้ฟังแล้ว)
นิทานก็คือนิทาน อ่านให้สนุกเฉยๆ ก็ย่อมได้ แต่ถ้าจะเอา "คติธรรม" จากนิทานก็ย่อมได้เช่นกัน เรื่องของลิงทั้ง 5 เรื่องนี้แสดงถึงการแก้ปัญหาไม่เป็นของลิง ลิงมันจึงประสบความยุ่งยาก บางตัวถึงกับเสียชีวิต ยิ่งแก้ก็ยิ่งแย่ อยู่เฉยๆ ยังจะดีกว่า
ลิงมันไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้ว่าปัญหาอยู่ตรงไหน จะแก้ปัญหาจะต้องทำอย่างไร พูดให้เข้าหลักวิชาก็ว่า ลิงไม่รู้การแก้ปัญหาแบบอริยสัจ
อริยสัจ คือ หลักคำสอนที่สอนให้รู้ว่าสภาพปัญหาคืออะไร
สาเหตุของปัญหาอยู่ที่ไหน อะไรบ้าง
ปัญหานี้มีทางแก้ไหม ถ้ามี มีกี่วิธี และวิธีไหนที่ดีที่สุด
นี่แหละครับคือขั้นตอนของการแก้ปัญหาแบบอริยสัจ ในกระบวนการแก้ปัญหาแบบอริยสัจนี้ ปัญญาเป็นองค์ธรรมที่สำคัญที่สุด การกระทำ (กรรม) และความต่อเนื่องของการกระทำ (วิริยะ) เป็นส่วนประกอบทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
สรุปให้ชัดๆ ก็คือ การจะแก้ปัญหาได้ จะต้องรู้สภาพปัญหา รู้สาเหตุของปัญหา รู้ว่าปัญหาต่างๆ นั้นหมดไปได้
และต้องลงมือทำหรือแก้ปัญหานั้นอย่างต่อเนื่อง
พระพุทธเจ้าของเรานั้น เมื่อครั้งยังทรงเป็นเจ้าชายสิตธัตถะ ทรงรู้ปัญหาที่รุมเร้าจิตใจมนุษย์ทั้งปวง คือการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ ตามแรงกรรมดีและชั่วที่แต่ละคนทำไว้ เบื้องแรกนั้นทรงรู้ว่าตัวปัญหาคืออะไร และรู้ด้วยว่าสาเหตุมาจากอะไร แต่ดูเหมือนว่า วิธีแก้ปัญหานี้ พระองค์ยังไม่ทรงทราบแน่ชัด
คือทรงคิดว่าการทรมานตนเองให้ลำบากด้วยตบะวิธีต่างๆ นั้นคือทางแก้ปัญหา ทางที่จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ พระองค์จึงทรงบำเพ็ญตบะ (ทรมานตน) ต่างๆ นานา ท้ายที่สุดทรงลดอาหารลงทีละนิดๆ จนกระทั่งไม่เสวยอะไรเลย จนร่างกายผ่ายผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก อันเรียกว่า "ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา"
เมื่อการกระทำเช่นนั้นมิใช่ทางแก้ปัญหา พระองค์จึงไม่ประสบความสำเร็จ พูดง่ายๆ ว่าทรง "ล้มเหลว" โดยสิ้นเชิง แทบจะเอาชีวิตไม่รอดเลยทีเดียว ถ้าอาจถึงแก่ชีวิตก็ได้
เดชะบุญ พระองค์ทรง "ได้คิด" ว่าทางแก้ปัญหามิใช่อยู่ที่การอดอาหาร เรื่องอย่างนี้เป็นเรื่องของจิตใจ การจะหลุดพ้นจากกิเลสที่รึงรัดใจ แต่ไปทรมานร่างกายย่อมเป็นไปไม่ได้ ทางที่ถูกควร จะต้องฝึกฝนอบรมจิตใจ และร่างกายเองก็ต้องบำรุงให้มีพลังพอที่จะทำความเพียรต่อไป เมื่อร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง จิตใจก็มีสุขภาพจิตที่ดีด้วย (ดังคำกล่าวว่า "จิตใจที่สมบูรณ์ ย่อมอยู่ในร่างกายที่แข็งแรง" อะไรทำนองนั้น)
ทรงค้นพบ "ความพอดี" ของร่างกายและจิตใจ ความพอดีของแนวความคิด ไม่สุดโต่งไปทางข้างใดข้างหนึ่ง และความพอดีของการปฏิบัติ ไม่ย่อหย่อนเกินไป และไม่ตึงเกินไปจนกลายเป็นความทรมาน
เราเรียกการค้นพบทางที่ถูกของพระองค์ว่า "มัชฌิมาปฏิปทา" (ทางสายกลาง) นี้แลคือทางแก้ปัญหาที่ว่ามาข้างต้น
เมื่อทรงรู้ชัดว่าทางแก้ปัญหาคืออะไร อย่างไร จากนั้นพระองค์ "ลงมือปฏิบัติ" ด้วยวิริยะ อุตสาหะ จนในที่สุดก็แก้ปัญหาเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดได้ อันเรียกตามศัพท์ศาสนาว่า "บรรลุนิพพาน" (บรรลุถึงความดับสนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์ทั้งมวล)
ที่ยกวิธีคิดและวิธีแก้ปัญหาของพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้มาให้ดูก็เพื่อแสดงความจริงอย่างหนึ่งว่า แม้ว่าจะรู้ในเบื้องต้นว่าปัญหาคืออะไร สาเหตุของปัญหาคืออะไร แต่ไม่รู้ทางแก้ที่ถูกต้อง ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ดังเจ้าชายสิตธัตถะในตอนแรกนั่นแหละครับ
นี่ขนาดท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านยังพลาดพลั้งได้ในตอนแรก สำมะหาอะไรกับเราปุถุชนคนธรรมดา จะไม่พลาดพลั้งบ้าง อันนี้เท่ากับให้กำลังใจเรานะครับ อย่ากลัวเลย ถ้าเราจะผิดพลาดบ้าง เป็นบางครั้งบางคราว ขอแต่ให้มีเจตนาแน่วแน่ที่จะแก้ปัญหาก็ใช้ได้แล้ว สักวันหนึ่งคงรู้วิธีแก้ และแก้ได้
บางครั้งถึงจะรู้ทางแก้แต่เป็นทางแก้ที่ไม่ค่อยดีนัก แม้ปัญหาจะแก้ได้ก็จริง การแก้ปัญหานั้นก็ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ ไม่ควรที่วิญญูชนจะเอาเป็นแบบอย่าง
นึกตัวอย่างอื่นไม่ออก ขอยกตัวอย่างนักวิทยาศาสตร์ใหญ่คนหนึ่งแก้ปัญหาก็แล้วกัน เรื่องนี้เคยเขียนถึงมาแล้ว ขออนุญาตนำมาเล่าอีก เพราะมันจำเป็นจริงๆ หาเรื่องอื่นที่เหมาะสมกว่าไม่ได้
นักวิทยาศาสตร์ใหญ่คนนี้ มีปัญหาคือรำคาญเสียงแมวที่ร่ำร้องขอเข้าออกห้อง ขณะแกทดลองวิทยาศาสตร์อยู่ในห้องแล็บ
แกรู้ว่าสาเหตุของปัญหาก็คือ แมวมันอยากเข้าอยากออกห้องทดลองเวลาที่มันต้องการ
แกรู้วิธีแก้เหมือนกัน คือรู้ว่าถ้าเจาะช่องให้แมวมันออกเสีย แมวมันก็จะได้เข้าออกตามต้องการ จะเข้าจะออกเวลาไหนมันก็ย่อมทำได้ตามที่มันต้องการ เมื่อเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ต้องมาร้องเหมียวๆ ขอเข้าขอออกเสียงหนวกหูจะหมดไป พูดง่ายๆ ว่า ปัญหานี้แก้ได้ว่าอย่างนั้นเถอะ
แต่วิธีแก้ปัญหาของแกไม่ชัดเจน แกจึงเจาะช่องสองช่อง ช่องใหญ่สำหรับแมวตัวใหญ่ ช่องเล็กสำหรับแมวตัวเล็ก
แก้ปัญหาได้จริง แต่การแก้แบบนี้คนฉลาดเขาไม่ทำกัน ยิ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ใครๆ ยกย่องในมันสมองอันปราดเปรื่องด้วยแล้วทำอย่างนี้เขาจะหัวเราะเยาะเอา
ก็นำมาเล่าขานหัวเราะเยาะมาจนบัดนี้แหละครับ
เพราะฉะนั้น การแก้ปัญหาแบบอริยสัจ จะต้อง "รู้" ทุกขั้นตอน เมื่อรู้แล้วก็ลงมือทำ และทำอย่างต่อเนื่อง จนกว่าปัญหา ทั้งหมดจะได้รับการแก้ไข ฉะนี้แลโยมเอ๋ย
วันเสาร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2551
"กฎ 23 ข้อ" ทำให้เว็บน่าสนใจ copy มาครับ
"กฎ 23 ข้อ" ทำให้เว็บน่าสนใจ
:
เป็นกฎง่ายๆ ที่บางครั้งเหมือนเส้นผมบังภูเขา ทำตามได้ไม่ยาก เพื่อให้เว็บไซต์เป็นที่ดึงดูดของผู้ใช้มากที่สุด
กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : กฎ 23 ข้อดังต่อไปนี้ เป็นการวิจัยของ 3 สถาบัน ได้แก่ The Poynter Institute, the Estlow Center for Journalism & New Media, และ Eyetools ภายใต้โครงการ “The Eyetrack III” ซึ่งศึกษาถึงกลยุทธ์การออกแบบเว็บไซต์เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ให้มากที่สุด
1. ตัวอักษรดึงดูดความสนใจได้เร็วกว่าภาพหรือกราฟฟิค
2. จุดแรกที่สายตามองคือ มุมซ้ายบนของหน้าเว็บ
3. ผู้ใช้จะมองไปที่มุมซ้ายบนของเว็บไซต์ ก่อนที่จะเลื่อนสายตาลงมาด้านล่างขวาเรื่อยๆ
4. ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่สนใจมองแบนเนอร์โฆษณา
5. รูปแบบเว็บไซต์และตัวอักษรที่มีสีสันสะดุดตา มักไม่ได้รับความสนใจจากผู้ใช้
6. แสดงข้อมูลเป็นตัวเลข จะดึงดูดสายตามากกว่าเขียนเป็นตัวอักษร
7. ขนาดตัวอักษรมีผลต่อพฤติกรรมการใช้เว็บ โดยตัวอักษรเล็กๆ จะทำให้คนอ่านอย่างละเอียด ขณะที่ตัวอักษรใหญ่ ทำให้คนมองเป็นอันดับแรก
8. คนส่วนใหญ่อ่านพาดหัวรอง ในกรณีที่น่าสนใจจริงๆ
9. คนมักจะอ่านส่วนล่างของหน้าเว็บแบบผ่านๆ
10. ประโยคหรือย่อหน้าสั้นๆ ดึงดูดความสนใจของคนอ่านมากกว่า
11. รูปแบบเว็บไซต์ที่มีแถวแนวตั้งแถวเดียว ดึงดูดสายตามากกว่าหลายแถว
12. แบนเนอร์โฆษณาที่อยู่บริเวณบนสุดและซ้ายสุด จะดึงดูดสายตามากที่สุด
13. การวางโฆษณาใกล้กับคอนเทนท์ที่ดีที่สุด จะได้รับความสนใจจากผู้ใช้ค่อนข้างมาก
14. โฆษณาแบบตัวอักษรได้รับความสนใจมากกว่าโฆษณาแบบภาพหรือกราฟฟิค
15. ภาพยิ่งใหญ่ ยิ่งดึงดูดความสนใจได้มาก
16. ภาพที่ชัด ดูง่าย และถ่ายบุคคลจริงๆ จะได้รับความสนใจจากคนดู มากกว่าภาพประเภทดีไซน์จัดๆ ภาพนามธรรม (abstract) หรือภาพนายแบบ-นางแบบ
17. หน้าเว็บไซต์ก็เหมือนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ เพราะฉะนั้น พาดหัวจะได้รับความสนใจมากที่สุด
18. คนส่วนใหญ่มักจะสนใจหัวข้อและเมนูต่างๆ ในเว็บไซต์
19. ถ้ามีบทความยาวๆ ในเว็บไซต์หรือบล็อก หากแยกเนื้อหาออกเป็นข้อๆ จะได้รับความสนใจจากผู้อ่านมากขึ้น
20. ผู้ใช้มักจะไม่อ่านบทความที่ติดกันยาวๆ หลายบรรทัด ดังนั้น ถ้าบทความยาวมาก ควรแตกเป็นย่อหน้าย่อยๆ
21. การดึงความสนใจของคนให้อ่านบทความให้มากและนานที่สุด คือการใช้รูปแบบตัวอักษรที่แตกต่างกันไป เช่น ตัวหนา ตัวใหญ่ ตัวเอียง ตัวขีดเส้นใต้ หรือตัวอักษรสีต่างๆ แต่ไม่ควรใช้มากเกินไป เพราะทำให้ผู้อ่านหมดความสนใจเช่นกัน
22. เว้นที่ว่างบนหน้าเว็บบ้างก็ดี ไม่ต้องใส่ข้อมูลหรือภาพบนทุกอณูของเว็บก็ได้
23. ปุ่ม navigation ควรวางไว้บนสุดของหน้าเว็บ เพื่อช่วยเหลือผู้ใช้ได้ง่ายที่สุด
เลือกไปทำอะไร จากข่าวสด
ก่อนเข้าคูหา
สำหรับผู้ว่าฯกทม.ที่ประชาชนจะไปใช้สิทธิ์หย่อนบัตรเลือกมานี้ สิ่งที่ผู้มีสิทธิ์ทั้งหลายควรรู้ และตระหนักก่อนการใช้สิทธิ์ คือจะเลือกผู้ว่าฯกทม.ไปทำอะไรได้บ้าง
พิจารณาจากภาระหน้าที่ของกทม. ที่กำหนดไว้ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ปี 2528 นั้น
1.การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชน 2.การลงทะเบียนตามที่กฎหมายกำหนด 3.การป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 4.การรักษาความสะอาด และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 5.การผังเมือง
6.การจัดให้มีและบำรุงรักษาทางบก ทางน้ำ และทางระบายน้ำ 7.การวิศวกรรมจราจร 8.การขนส่ง 9.การจัดให้มี และควบคุมตลาด ท่าเทียบเรือ ท่าข้ามและที่จอดรถ 10.การดูแลรักษาที่สาธารณะ
11.การควบคุมอาคาร 12.การปรับปรุงแหล่งชุมชนแออัดและจัดการเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย 13.การจัดให้มีและบำรุงรักษาสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ 14.การพัฒนาและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม 15.การสาธารณูปโภค
16.การสาธารณสุข การอนามัยครอบครัว และการรักษาพยาบาล การจัดให้มีและควบคุมสุสาน และฌาปนสถาน 18.การควบคุมการเลี้ยงสัตว์ 19.การจัดให้มีและควบคุมการฆ่าสัตว์ 20.การควบคุมความปลอดภัย ความเป็นระเบียบเรียบร้อย และการอนามัยในโรงมหรสพ และสาธารณสถานอื่นๆ
21.การจัดการศึกษา 22.การสาธารณูปการ 23.การสังคมสงเคราะห์ 24.การส่งเสริมการกีฬา 25.การส่งเสริมการประกอบอาชีพ 26.การพาณิชย์ของกทม.และ 27.หน้าที่อื่นๆ ตามที่กฎหมายระบุให้เป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ เทศบาลนคร หรือตามที่คณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมอบหมาย หรือที่กฎหมายระบุเป็นหน้าที่ของ กทม.
ผู้ว่าฯกทม.ก็คือผู้ที่จะเข้าไปบริหารจัดการกทม. และปฏิบัติภารกิจทั้งหลายที่กฎหมายกำหนดนั่นเอง
จินตนาการและจิตที่ยิ่งใหญ่พอ จากมติชน 6กย51
ลูกเจี๊ยบที่เจริญเติบโตในไข่ถึงระยะหนึ่งต้องเจาะเปลือกไข่ออกมาหากินด้วยตนเองหนอนในรังดักแด้ก็เช่นกัน ต้องออกจากรังหากต้องการเป็นผีเสื้อที่งดงามแต่ทางออกและทางเลือกในสถานการณ์ของการเมืองไทยปัจจุบัน ซึ่งต่างฝ่ายที่เผชิญหน้าบอกว่ามีให้แก่กันนั้น ดูเหมือนแทบไม่มีช่องให้ออก ไม่มีทางให้เลือก เพราะมันคับแคบอยู่ในกรอบความคิดเดิมๆ ความเชื่อเดิมๆ ต่างมองว่าฝ่ายตนถูกต้องเสียทั้งหมด ฝ่ายตรงข้ามผิดก็ผิดทั้งหมด ต่างตั้งเป้าว่าสิ่งที่ควรเกิดขึ้น คือ ฝ่ายตนชนะอย่างเด็ดขาด ในที่อีกฝ่ายแพ้อย่างหมดรูปสังคมไทยตอนนี้จึงเสมือนลูกไก่ที่ดิ้นขลุกๆ ขลักๆ อยู่ในเปลือกอันคับแคบ เหมือนหนอนผีเสื้อที่จะมีศักยภาพในการโบยบินได้อย่างอิสระ แต่ทนบิดไปบิดมาอยู่ในรังหากพวกเราต้องการออกจากปัจจุบันอันอึดอัดคับแคบเช่นนี้ สิ่งที่เราพึงกระทำและเราทุกคนสามารถทำได้มีอยู่ 2 อย่าง1) พวกเราแต่ละคนต้องสร้าง "จินตนาการที่ใหญ่พอ" พอที่จะทำให้ทุกคนเกิดฉันทะ สร้างแรงบันดาลใจ จินตนาการนี้ต้องงดงาม เป็นจินตนาการถึงความเป็นไปได้ของการอยู่ร่วมกันที่เคารพในคนทุกคน ให้ทุกคนมีเกียรติมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เป็นไปได้ไหมว่า เราร่วมกันมีจินตนาการอันยิ่งใหญ่พอที่จะพาเราทะลุทะลวงออกมาจากทางตันทางการเมืองเป็นจินตนาการที่ทำให้หลายๆ คน (ยิ่งทุกคนยิ่งดี) ได้เป็นวีรบุรุษวีรสตรีของชาติ (National Heroes and Heroines) ไม่ว่าจะเป็นใคร เป็นคุณทักษิณ คุณพจมาน คุณสมัคร คุณเนวิน คุณสุริยะใส คุณจำลอง คุณสนธิ คุณสมศักดิ์ คุณสมเกียรติ ตำรวจ ทหาร พธม. นปช. คนเล็กคนน้อยทั้งหมด ไม่ว่าเขาเหล่านั้นจะใส่เสื้อสีอะไร ไม่ว่าเดินไปไหนมีแต่คนทักทาย มีแต่คนยิ้มให้ ยกมือไหว้ รับไหว้กันด้วยน้ำใสใจจริง คนในบ้านเลิกทะเลาะกัน เห็นไม่เหมือนกัน แต่ก็รักกันเหมือนเดิมได้อนาคตที่งดงาม มีสันติภาพ และมีพลังเช่นนี้เท่านั้นจึงจะสามารถดึง สามารถนำพา ผู้คนออกจากปัจจุบันเช่นที่เราเผชิญอยู่ได้2) พวกเราแต่ละคนต้องมี "จิตที่ใหญ่พอ" พอที่จะสร้างและรองรับจินตนาการร่วมของเรา อนาคตที่ยิ่งใหญ่จะสร้างขึ้นได้ก็ต้องการคนที่มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่เช่นกัน ศาสนสถาน ดังเช่น วัด มัสยิด โบสถ์ที่งดงามอลังการได้ก็เพราะมีศาสนิกชนผู้ทุ่มเททั้งกายและใจร่วมกันสร้างหากเราต้องการอนาคตที่ยิ่งใหญ่และงดงาม เราจะสร้างมันขึ้นมาด้วยจิตที่คับแคบและหดหู่ได้อย่างไร เพราะอนาคตเช่นนั้นต้องสร้างด้วยจิตที่ว่างๆ แจ่มใส อุดมด้วยสติและปัญญา ถ้าเรามีความโกรธอยู่ในใจแล้ว ปัญญาเราก็หาย ถ้าเรามีความเกลียดอยู่ในใจแล้ว ปัญญาเราก็ไม่มี หากเราขาดปัญญา เราก็ไม่สามารถพาตัวเราออกจากข้อจำกัดเดิมๆ ของเราได้เช่น หากเรายึดติดกับความโกรธ ความจงเกลียดจงชังในใจเรา เราจะถูกกักขังจองจำอยู่ในอดีตอันจำกัดว่าเราจะไปยกย่องคนบางกลุ่มได้อย่างไร เมื่อเราไม่ก้าวข้ามข้อจำกัดของตนเองออกมาเช่นนี้ สันติภาพย่อมยากจะมีโอกาสเกิดขึ้นมาได้ในเมื่อตอนนี้คนในบ้านแบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่ายเช่นนี้ แล้วเหตุใดเราจะยกย่องเขาไม่ได้ล่ะว่าเขาเป็นวีรบุรุษเป็นวีรสตรี คนคนหนึ่งสามารถเป็นได้สิ หากว่าเขาทำบางสิ่งบางอย่างที่น่าชื่นชม มีบุคคลหลายคนในประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของบ้านเราต่างก็ได้รับการยกย่อง เพียงเพราะว่าในสถานการณ์คับขันของประเทศ เขาเลือกที่จะทำบางสิ่งหรืองดกระทำบางอย่างเท่านั้นเองแน่นอน การที่คนคนหนึ่งเป็นวีรบุรุษวีรสตรี ไม่ได้หมายความว่าเขาเป็นคนดีร้อยเปอร์เซ็นต์ เรายกย่องเขาเพราะเราได้รับรู้และซาบซึ้งในความดีและความกล้าหาญที่จะเสียสละในบางเรื่องของเขาส่วนเรื่องที่เขาได้เคยทำผิดพลาดไป (เราทุกคนก็เคย ไม่มากก็น้อย) นั่นเป็นเรื่องที่เขาต้องได้แสดงความรับผิดชอบ และอาจไม่จำเป็นต้องเข่นฆ่า ไล่ต้อนกันให้จนมุม ให้อยู่ในประเทศกันไม่ได้ จริงหรือไม่ทุนทางสังคมเรื่องความรัก ความเมตตา และการให้อภัยของไทยเรายังมีอยู่ไม่น้อย หากใครกล้าหาญยืดอกยอมรับในความผิดของตน เขาอาจกลับเป็นแรงบันดาลใจให้เราแสดงความกล้าหาญในการให้อภัยเขาก็ได้ โดยรากศัพท์แล้ว อภัย หมายถึง ความไม่มีภัย ความไม่ต้องกลัว การที่เราให้อภัยใครบางคน เป็นการปลดแอกตัวเองออกจากความกลัว และทำให้เขาเป็นผู้ไม่มีภัยต่อจิตใจของเรา ยิ่งถ้าหากเขาได้เป็นวีรบุรุษวีรสตรีผู้นำพาสันติภาพมาสู่ประเทศ เราย่อมให้อภัยเขาเหล่านั้นง่ายขึ้นพลังของการให้อภัยไม่ใช่เรื่องที่เกินจริง แม้แต่ประเทศแอฟริกาใต้ที่บอบช้ำเพราะความรุนแรงจากนโยบายแบ่งแยกสีผิวมาอย่างยาวนานค่อนศตวรรษ บนซากศพของพี่น้องร่วมชาตินับหมื่นคนและซากปรักหักพังของบ้านเมืองนั้น เขาก็ยังสามารถตั้งคณะกรรมการเพื่อความจริงและการสมานฉันท์ (Truth and Reconciliation Commission) ที่ให้ผู้เสียหายมาร้องทุกข์เพื่อให้สังคมได้รับรู้ พร้อมกับให้ผู้กระทำการมาแสดงความรับผิดชอบและรับการให้อภัย ไม่ต้องรับโทษทางคดีความหากเรายังมีความโกรธความเกลียดอยู่ในใจ ถูกจองจำอยู่ในข้อจำกัด ย่อมทำให้เราไม่เกิดปัญญา ไม่อาจให้อภัยใคร แต่ถ้าหากเราสามารถข้ามทะลุกรอบความคิดเดิมๆ ความเชื่อเดิมๆ ของเราไปได้ เราอาจพบทางออกและทางเลือกอย่างเช่นการใช้ "การสื่อสารด้วยความกรุณา" (Compassionate/Non-violent Communication) ซึ่ง ดร.มาร์แชล บี. โรเซนเบิร์ก ได้บอกเล่าผ่านหนังสือชื่อ We Can Work It Out (แก้ไขความขัดแย้งอย่างสันติและมีพลัง) ว่า ความขัดแย้งระหว่างสามีภรรยาที่กำลังจะหย่าร้าง และระหว่างชนเผ่าที่รบราฆ่าล้างกันนั้นสามารถแก้ไขและได้รับเยียวยาด้วยวิธีการนี้มาแล้ว (ผู้สนใจสามารถอ่านได้ที่ http://jitwiwat.blogspot.com ผู้เขียนได้อ่านและร่วมฝึกอบรมกับคุณไพลิน โชติสกุลรัตน์ ผู้แปล รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ยากอย่างที่เคยคิด และมีความหวังกับสถานการณ์ในปัจจุบันขึ้นอีกมาก)กรณีอย่างแอฟริกาใต้ และอีกหลายกรณีเช่นนี้ จะยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ถ้าผู้คนในสังคมนั้นๆ ไร้เสียแล้วซึ่งจินตนาการและจิตใจที่ยิ่งใหญ่พอหากเกิดคำถามขึ้นว่า แล้วจินตนาการและจิตที่ใหญ่นี้จะเกิดขึ้นได้จริงหรือ จะเป็นไปได้ไหมที่ชาวไทยทุกคนจะเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างพร้อมเพรียงเท่าๆ กัน?คำตอบของคำถามนี้อาจเป็นผลงานวิจัยจำนวนมากซึ่งระบุว่าสมาธิและความตั้งใจ (Intention) ของมนุษย์เรานั้น สามารถสร้างผลในโลกกายภาพได้ เช่น ลดอัตราอาชญากรรม ลดอัตราการสูญเสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจร หรือเพิ่มคุณภาพชีวิต โดยไม่จำเป็นที่ทุกคนจะต้องมีสมาธิและความตั้งใจในสิ่งเดียวกันเท่าๆ กัน แต่ขอแค่จำนวนที่เป็นสัดส่วนเพียงพอที่จะสร้างให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชุมชนหนึ่งๆสัดส่วนที่ว่านั้นคือ รากที่สองของหนึ่งเปอร์เซ็นต์จากจำนวนประชากรในชุมชน สำหรับประเทศไทยแล้ว คนไทยจำนวน 63 ล้านคน อาจยังไม่เริ่มพร้อมกันก็ได้ แต่เพียงแค่มีคนที่เริ่มก่อนในจำนวนสัดส่วนดังว่า นั่นคือแค่ไม่ถึงแปดร้อยคน ไม่ถึง "แปดร้อยคน" เท่านั้นประการสำคัญคือ จินตนาการที่ใหญ่พอและจิตที่ใหญ่พอนี้ ทำให้เกิดขึ้นได้ง่าย หากเรามีความกล้า กล้าพอที่จะคิด กล้าพอที่จะหวัง กล้าพอที่จะศรัทธาเราต้องกล้าที่จะ ศรัทธาว่ามนุษย์ทุกคนเรียนรู้ได้ เปลี่ยนแปลงได้ หลายครั้งเราได้ยินตัวอย่างองคุลีมาลซึ่งแม้อาจฟังดูเฝือ แต่ว่ามันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงตนเองได้ หากเราไม่ให้โอกาสเขา ก็เท่ากับเราไม่ให้โอกาสตัวเราเองด้วยเราต้องกล้าที่จะ ศรัทธาในความเป็นไปได้จากสภาวการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ (Thinking the Impossible) เหมือนอย่างคนที่เชื่อมั่นอย่างยิ่งยวดในการผ่าทางตันด้วยความรุนแรง เราต้องเชื่อมั่นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันว่า ในความที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เลยนั้น มันมีความเป็นไปได้ของสันติภาพอยู่ เนลสัน เมนเดลา ประธานาธิบดีจากการเลือกตั้งคนแรกของแอฟริกาใต้ กล่าวว่า "มันดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เลย จนกระทั่งมันได้เกิดขึ้นจริงๆ"เราต้องกล้าที่จะ ศรัทธาว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงโลก เปลี่ยนแปลงสังคม ผ่านการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การเปลี่ยนแปลงภายในตัวเราเอง (Self-transformation) การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เราทำได้เอง โดยไม่ต้องรอผู้มีอำนาจสั่ง ไม่ต้องรอผู้นำหรือแกนนำจากภายนอก เป็นการคืนอำนาจและอิสรภาพมาสู่ตัวเราอย่างแท้จริงการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่สำคัญที่สุด คือ การเห็นความเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง ไปพ้นมุมมองแบบทวิลักษณ์ ที่มองสิ่งต่างๆ ว่าเป็นขั้วตรงข้าม คือ ไม่ขาวก็ดำ ไม่ถูกก็ผิด ไม่ดีก็เลวการเผชิญหน้าที่เกิดขึ้นในบ้านเราก็เป็นผลพวงของกระบวนทรรศน์เช่นนี้ และเป็นปรากฏการณ์เดียวกันกับที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่าชุดความคิดความเชื่อที่เราใช้กันอยู่ที่แบบแยกส่วน เน้นวัตถุมากกว่าจิตใจ และสุดโต่งสองขั้ว นั้นไม่เพียงพอสำหรับการดำรงชีวิตร่วมกันเสียแล้วดังที่ไอน์สไตน์บอกว่า "เราต้องการวิธีการคิดแบบใหม่ ที่แตกต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง หากมนุษยชาติจะยังคงอยู่รอดอยู่ได้"ลูกเจี๊ยบดิ้นขลุกขลักในเปลือกไข่ และหนอนผีเสื้อในรังไหม จะว่าไปแล้วก็เป็นเหมือนที่ทฤษฎีไร้ระเบียบบอกไว้ว่า ในระบบพลวัตที่อ่อนไหวต่อสภาวะเริ่มต้น หากระบบมีความสั่นไหว เกิดความไร้ระเบียบถึงระดับหนึ่งที่มากพอ ระบบจะปรับตัวครั้งใหญ่เพื่อเกิดระเบียบ (order) ใหม่ และระเบียบหรืออนาคตที่เกิดขึ้นใหม่นี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร มันก็ขึ้นอยู่กับสภาวะเริ่มต้น ณ ขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร มีองค์ประกอบเช่นใดฉันใดก็ฉันนั้น เราจึงต้องเร่งสร้างการเรียนรู้และการเปลี่ยนแปลงให้กับตนเอง ทั้งเรื่องจินตนาการและจิตที่ยิ่งใหญ่ เพื่อว่า ณ เมื่อจุดที่เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นมาถึง เราจะได้มีคนจำนวนมากพอที่รู้วิธี มีจิตที่ว่าง แจ่มใส ยิ่งใหญ่ และมุ่งมั่น สามารถจะนำพาสังคมไปสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่ เหมือนลูกไก่ที่กะเทาะออกจากเปลือก และมีสันติภาพร่วมกันได้เหมือนผีเสื้อที่โบยบินออกจากรังดักแด้